LED THERAPY รักษาปัญหาผิว สิว ฝ้า อย่างอ่อนโยน ด้วยแสง 6 สี
เมื่อพูดถึงแสงแล้ว คนส่วนใหญ่มักนึกถึงแสงที่ทำร้ายผิวอย่าง รังสี UVA และ UVB แต่จริง ๆ แล้ว แสงนั้นไม่ได้มีเพียงแค่แบบเดียว นอกจากแสงที่ไม่ดีต่อผิวหนังแล้ว ยังมีแสงที่ช่วยรักษาปัญหาผิวอยู่ด้วย
หนึ่งในนั้นก็คือแสง LED THERAPY ในบทความนี้ Lienjang จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ แสงรักษาผิวนี้ให้มากขึ้นกัน
สิ่งที่น่าสนใจในบทความนี้
- LED THERAPY คืออะไร ?
- LED THERAPY มีทั้งหมดกี่สี ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
- ผลลัพธ์หลังจากการทำ LED THERAPY ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล
- ใครที่เหมาะกับการทำ LED THERAPY ?
- วิธีการปฏิบัติตัวก่อนและหลังทำ LED THERAPY ?
LED THERAPY คืออะไร ?
ในเบื้องต้น เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับแสงกันให้มากขึ้นก่อน ในธรรมชาตินั้นจะสามารถแบ่งแสงออกเป็นสองประเภท ได้แก่ แสงที่ไม่สามารถมองเห็นได้ และแสงที่สามารถมองเห็นได้
แสงแบบที่ไม่สามารถมองเห็นได้ - ได้แก่แสง UVA หรือ UVB
ซึ่งมาจากรังสีของแสงแดด แสงประเภทนี้
UVA (Ultraviolet A) – เป็นแสงที่ไปทำร้ายผิวหนังชั้นลึกของเรา หรือที่เรียกว่าชั้น Dermis ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น แก่ก่อนวัย และเกิดจุดด่างดำ UVA สามารถทะลุกระจกเข้ามาได้ แม้อยู่ในอาคารก็อาจได้รับผลกระทบจาก UVA ได้ แสงประเภทนี้มีความยาวคลื่นอยู่ที่ 320 – 400 นาโนเมตร
UVB (Ultraviolet B) – มีความยาวคลื่น 290 – 320 นาโนเมตร ไม่สามารถทะลุกระจกได้ จะได้รับผลกระทบเมื่ออยู่กลางแจ้ง เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังไหม้
แสงทั้งสองแบบนี้สามารถแปลงสภาพ DNA จนอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ อย่างไรก็ตาม ผิวหนังยังสามารถปกป้องกระบวนการดังกล่าวได้ โดยการสร้างเม็ดสีเข้มขึ้นมาเพื่อปกป้อง แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ เพราะดูไม่สวยงามสำหรับใครหลายคน
แสงแบบที่สามารถมองเห็นได้
เป็นแสงที่มีความยาวคลื่น 400 – 700 นาโนเมตร ไม่เป็นอันตรายต่อผิว ผลิตได้จาก LED LIGHT THERAPY มักใช้ในการรักษาปัญหาผิว เช่น สิว จุดด่างดำ รูขุมขน และอื่น ๆ อีกมากมาย แสงรูปแบบนี้จะมีหลากหลายสีได้แก่ สีแดง สีเหลือง สีม่วง สีเขียว สีฟ้า และสีชมพู โดยแต่ละสีจะมีความยาวคลื่นที่แตกต่างกัน สามารถเข้าลึกถึงชั้นผิวที่แตกต่างกัน ดังนั้นแสงแต่ละประเภท จะเหมาะแก่การแก้ไขปัญหาผิวที่แตกต่างกันออกไป
LED THERAPY มีทั้งหมดกี่สี ? ช่วยเรื่องอะไรบ้าง ?
ตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ LED THERAPY แบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 สี ได้แก่
สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีเขียว สีฟ้า และสีม่วง แต่ละสีจะแก้ไขปัญหาผิวแตกต่างกันดังนี้
สีแดง – มีความยาวคลื่น 640 นาโนเมตร ช่วยฟื้นฟูเส้นใยผิว ลดรูขุมขน ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ช่วยเรื่องความกระจ่างใสของผิว ลดเส้นเลือดฝอย
สีเหลือง – มีความยาวคลื่น 590 นาโนเมตร ทำงานคล้ายกับสี เขียว แต่จะเน้นไปที่การลดรอยแดงบนผิว ลดการสร้างเม็ดสี ทำให้ผิวกระจ่างใสมากขึ้น ผิวแข็งแรงมากขึ้น รักษาเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง ทำให้ต่อมน้ำเหลืองและการไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
สีน้ำเงิน – มีความยาวคลื่น 415 นาโนเมตร สามารถลงไปถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) โดยเป้าหมายของแสงสีฟ้า คือการเข้าไปยังต่อมไขมัน ทำให้ต่อมไขมันทำงานเป็นปกติ ไม่ผลิตน้ำมันบนใบหน้ามากเกินไป จนเกิดสิวอักเสบ และไม่ผลิตน้อยเกินไปจนใบหน้าแห้ง
สีเขียว – มีความยาวคลื่น 532 นาโนเมตร เสริมสร้างความแข็งแรงของผิว ทำให้ผิวแข็งแรงมากยิ่งขึ้น เหมาะแก่ผู้ที่มีผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย
สีฟ้า – ลดความมันบนใบหน้า ช่วยฆ่าแบคทีเรียนอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ลดสิวอักเสบ สิวหัวช้าง และสิวแพ้ต่าง ๆ
สีม่วง – กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเป็นชั้นผิวหนัง ทำผิวเรียบเนียน อีกทั้งยังสามารถลดริ้วรอยได้อีกด้วย
ผลลัพธ์หลังจากการทำ LED THERAPY
ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล ?
เนื่องจากการรักษาด้วย LED THERAPY เป็นวิธีที่ค่อนข้างอ่อนโยน การรักษาจึงควรทำควบคู่กับการรักษาอื่น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ดีที่สุด โดยทั่วไปแล้ว จะนิยมให้ทำติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ เป็นระยะเวลาประมาณ 4 – 8 สัปดาห์
โดยจะเริ่มเห็นผลครั้งที่ 3 เป็นต้นไป ตั้งแต่ครั้งที่ 3 ผู้เข้ารับการรักษา จะพบว่า ผิวของตนเองมีความมันน้อยลง สิวอักเสบดีขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
ใครที่เหมาะกับการทำ LED THERAPY ?
- คนที่มีปัญหาผิวหน้ามัน แต่ไม่ต้องการทานยาปฏิชีวนะ
- คนที่มีปัญหาสิวอักเสบ สิวหัวช้าง สิวแพ้ และสิวสเตียร์รอยด์
- คนที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง ต้องการให้หน้าเรียบเนียนขึ้น
- คนที่มีปัญหาริ้วรอยตื้น ๆ ต้องการให้ริ้วรอยจางลง
- คนที่มีปัญหารอยดำ รอยแดงบนใบหน้า รอยสิว รอยแผลเป็นต่าง ๆ
- คนที่มีปัญหาหน้าแพ้ง่าย อย่างให้ผิวแข็งแรงขึ้น
วิธีการปฏิบัติตัวก่อนและหลังทำ LED THERAPY
แนวทางในการเตรียมตัวก่อนทำ LED THERAPY มีดังต่อไปนี้
- งดทายาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น Tretinoin (Retin-A) Retinols Retinoids Glycolic Acid หรือครีมในกลุ่ม Anti-Aging
- งดแวกซ์ผิว ขัดผิว สครับผิว นวดหน้า โกนขน ดึงขน เลเซอร์ บริเวณที่จะทำอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ก่อนรับบริการ
- งดดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่
- งดกิจกรรมที่ส่งผลให้เลือดสูบฉีดไหลเวียนมากขึ้น เช่น การออกกำลังกาย ซาวน่า
- หากมีโรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ หรือแพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับบริการบำบัดผิวด้วยการฉายแสง LED
หลังการทำ LED THERAPY ควรมีการดูแลตัวเองดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
- งดอาบแดด ซาวน่า ถูกแสงแดดหรือความร้อนจัด
- ใช้โฟมล้างหน้าหรือคลีนซิ่งที่อ่อนโยนต่อผิว
- ไม่ควรล้างหน้าโดยการถูแรงๆ เพื่อป้องกันผิวเกิดการระคายเคือง
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
- งดใช้ครีมมีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินซี หรือครีมกลุ่ม AHA
ด้วยแสงถึง 6 ประเภท ปรึกษาเรื่องการทำ LED Light Therapy ได้แล้ววันนี้ คลิกที่นี่