ปัญหาริ้วรอยใต้ตาสามารถเกิดขึ้นได้แม้อายุยังน้อย ไม่จำเป็นต้องมีอายุมาก ที่ทำให้สาว ๆ หลายคนหนักใจ ไม่ว่าจะเป็น รอยตีนกา ใต้ตาเหี่ยวย่น ถุงใต้ตาบวม หรือใต้ตาคล้ำ ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าดูมีอายุ ดูโทรม ไม่สดใส ถึงแม้บางคนจะพยายามปกปิดด้วยการแต่งหน้า แต่ก็ไม่สามารถช่วยปกปิดได้หมด วันนี้ ลีเอนจาง คลินิก มี 7 วิธีลดริ้วรอยบริเวณใต้ตาที่เห็นผลได้จริงมาแนะนำ ริ้วรอยเกิดจากอะไร ? วิธีแก้ยังไงบ้าง ? มาอ่านในบทความนี้กันเลยค่ะ
ริ้วรอยใต้ตา คืออะไร ?
ริ้วรอยใต้ตา คือ เส้นบาง ๆ หรือรอยย่นที่เกิดขึ้นบริเวณใต้ดวงตา ซึ่งมักจะเกิดจากการสูญเสียความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวหนัง และบริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่มีผิวหนังบอบบางมาก ทำให้ริ้วรอยอาจปรากฏได้ง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของผิวหนัง เช่น การลดลงของคอลลาเจนและอีลาสติน หรือการขยับกล้ามเนื้อบ่อย ๆ
ลักษณะของริ้วรอยใต้ตา
- ริ้วรอยหรือรอยย่น : ริ้วรอยเหล่านี้มักเป็นเส้นเล็ก ๆ ที่ปรากฏใต้ดวงตา เมื่อผิวหนังเริ่มสูญเสียความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้น
- รอยตีนกา : รอยย่นที่เกิดจากการขยับกล้ามเนื้อบริเวณดวงตา เช่น การยิ้มหรือขมวดคิ้ว ซึ่งอาจแสดงออกมาเป็นรอยย่นเล็ก ๆ รอบดวงตา
- ถุงใต้ตา : การบวมที่เกิดขึ้นใต้ตา ซึ่งอาจทำให้เกิดริ้วรอยและทำให้ผิวดูหย่อนคล้อย
- ผิวหนังหย่อนคล้อย : ผิวหนังใต้ตาจะดูหย่อนคล้อย เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินลดลง
- รอยคล้ำ: รอยดำคล้ำใต้ตาอาจเพิ่มความชัดเจนของริ้วรอยทำให้ดูมีริ้วรอยมากขึ้น
- ริ้วรอยแห้ง: ผิวใต้ตาที่แห้งกร้านอาจมีริ้วรอยที่ดูชัดเจนกว่า เนื่องจากการขาดความชุ่มชื้น
ริ้วรอยใต้ตา เกิดจากอะไร ?
ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากหลายสาเหตุที่มีผลกระทบต่อผิวบริเวณรอบดวงตา ซึ่งผิวหนังบริเวณนี้มีความบอบบางมากกว่าบริเวณอื่น ๆ จึงทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตามีดังนี้
- การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน : เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังจะสูญเสียคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสติน (Elastin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่นและกระชับ ทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดริ้วรอยง่ายขึ้น
- ผิวแห้งขาดน้ำ : ผิวบริเวณใต้ตาอาจสูญเสียความชุ่มชื้น จึงทำให้ผิวดูแห้งและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
- การแสดงอารมณ์บ่อย ๆ : การแสดงอารมณ์หรือการขยับกล้ามเนื้อบริเวณดวงตาบ่อย ๆ เช่น การขมวดคิ้ว การยิ้ม หรือการหรี่ตา สามารถทำให้เกิดริ้วรอยจากการหดตัวของกล้ามเนื้อได้
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ : การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ สามารถทำให้ผิวบริเวณใต้ตาอ่อนแอมีลักษณะคล้ำและเกิดริ้วรอยได้
- การสัมผัสกับแสงแดด : รังสียูวีจากแสงแดดสามารถทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตา อายุน้อยได้
- การสูบบุหรี่ : บุหรี่สามารถทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินให้เสื่อมสภาพไวขึ้นกว่าปกติ จนทำให้ร่างกายต่อสู้กับอนุมูลอิสระได้น้อยลง และทำให้เกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น
ประเภทของริ้วรอยใต้ตา
ริ้วรอยใต้ตามีหลายประเภท แต่ละประเภทของริ้วรอยอาจต้องการการดูแลและการรักษาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความลึกของริ้วรอย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
- ริ้วรอยจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ (Dynamic Wrinkles) : เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณใต้ตาเมื่อเราแสดงอารมณ์ เช่น ยิ้ม หัวเราะ หรือขมวดคิ้ว ริ้วรอยประเภทนี้จะเห็นชัดเจนเมื่อมีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
- ริ้วรอยจากการเสื่อมสภาพของผิวหนัง (Static Wrinkles) : ริ้วรอยที่เห็นได้แม้ในขณะที่ผิวหน้าไม่เคลื่อนไหว เกิดจากการสูญเสียความยืดหยุ่นของผิวหนังและคอลลาเจนตามวัย หรือจากการถูกแสงแดดทำลายเป็นเวลานาน
- ริ้วรอยจากการยุบตัวของผิวหนัง (Volume Loss Wrinkles) : เกิดจากการสูญเสียไขมันหรือเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังบริเวณใต้ตาดูแห้งกร้านและยุบตัวลง ซึ่งมักเกิดขึ้นในผู้ที่มีอายุมากขึ้น
- ริ้วรอยจากการเสื่อมสภาพของผิวหนังชั้นหนังกำพร้า (Skin Surface Wrinkles) : เป็นริ้วรอยที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของผิวหนังชั้นหนังกำพร้า เช่น ผิวแห้งกร้าน ขาดน้ำ หรือถูกทำลายจากปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด ฝุ่นละออง หรือมลภาวะ
6 วิธีลดริ้วรอยใต้ตาที่เห็นผลได้จริง!
การลดริ้วรอยใต้ตาสามารถทำได้หลายวิธีทั้งในทางการแพทย์และการดูแลผิวประจำวัน ริ้วรอยใต้ตา แก้ยังไงมาดูกัน
1.การฉีดฟิลเลอร์
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขริ้วรอยใต้ตาเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความเรียบเนียนให้กับผิวบริเวณใต้ตา ฟิลเลอร์ที่ใช้มักจะประกอบด้วยสาร Hyaluronic Acid (HA) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีอยู่ในร่างกายเราอยู่แล้ว โดยมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำและเติมเต็มพื้นที่ที่ขาดความเต็มอิ่ม
ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา
- ฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกที่เกิดขึ้นบริเวณใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
- สาร Hyaluronic Acid ที่มีในฟิลเลอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูสดใสและเต็มอิ่มขึ้น
- เห็นผลทันทีหลังจากการฉีด และไม่ต้องพักฟื้นนาน
- การฉีดฟิลเลอร์มักจะใช้ยาชา ซึ่งช่วยลดความรู้สึกเจ็บในระหว่างการฉีด
2.การฉีดโบท็อกซ์
การฉีดโบท็อกซ์ริ้วรอยเป็นวิธีการรักษาที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน โดยเฉพาะสำหรับริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ (Dynamic Wrinkles) เช่น รอยย่นที่เกิดขึ้นเมื่อเรายิ้มหรือขมวดคิ้ว โบท็อกซ์เป็นสารที่มีชื่อเต็มว่า Botulinum Toxin ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติในการยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อชั่วคราว
ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ใต้ตา
- โบท็อกซ์ช่วยลดการหดตัวของกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอย ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูเรียบเนียนขึ้น
- หลังจากฉีดโบท็อกซ์ สามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ทันที
- การฉีดโบท็อกซ์เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาไม่นาน
3.การทำ Thermage FLX
การทำ Thermage FLX เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการลดริ้วรอยและกระชับผิว โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผิวหนังมีความบางและอ่อนโยน Thermage FLX จะใช้เทคโนโลยีคลื่นวิทยุความถี่สูง (Radiofrequency, RF) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ซึ่งช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระชับขึ้น
ข้อดีของการทำ Thermage FLX
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูเรียบเนียนและกระชับขึ้น ลดเลือนริ้วรอยและถุงใต้ตา
- การทำ Thermage FLX เป็นกระบวนการที่ไม่ต้องผ่าตัด จึงไม่มีบาดแผลและไม่ต้องพักฟื้น
- ผลลัพธ์จากการทำ Thermage FLX สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนถึงหนึ่งปี ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและการดูแลหลังการรักษา
4.การทำ Ulthera
การทำ Ulthera (หรือ Ultherapy) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมในการลดริ้วรอยและกระชับผิวใต้ตา โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการยกกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด Ulthera ใช้เทคโนโลยีคลื่นเสียงความถี่สูง (High-Intensity Focused Ultrasound หรือ HIFU) ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ซึ่งช่วยให้ผิวบริเวณใต้ตาดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้น
ข้อดีของการทำ Ulthera ใต้ตา
- ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยและลดริ้วรอยใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เป็นกระบวนการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีบาดแผล และไม่ต้องพักฟื้น
- ผลลัพธ์จากการทำ Ulthera สามารถอยู่ได้นานหลายเดือนถึง 1 ปี
5.การทำ PRP
การทำ PRP (Platelet-Rich Plasma) เป็นเทคนิคการฟื้นฟูผิวที่ใช้พลาสมาเข้มข้นจากเลือดของผู้เข้ารับบริการเอง ซึ่งอุดมไปด้วยเกล็ดเลือดและสารกระตุ้นการเติบโต (Growth Factors) เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและการฟื้นฟูผิว โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาที่มีปัญหาริ้วรอยและความหมองคล้ำ การทำ PRP เป็นวิธีที่ปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ เนื่องจากใช้เลือดของผู้เข้ารับบริการเองในการรักษา
ข้อดีของการทำ PRP
- PRP ใช้ส่วนประกอบจากเลือดของผู้เข้ารับบริการเอง จึงไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาดูเต่งตึง เรียบเนียน และลดเลือนริ้วรอย
- สามารถช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและลดรอยคล้ำใต้ตาได้
6.การทำเลเซอร์
การทำเลเซอร์เพื่อลดริ้วรอยบริเวณใต้ตาก็เป็นอีกวิธีที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เนื่องจากเลเซอร์สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวใต้ตาดูเต่งตึงและเรียบเนียนขึ้น และยังมีเลเซอร์หลายประเภทที่ใช้ในการลดริ้วรอยใต้ตา
ข้อดีของการทำเลเซอร์
- เลเซอร์สามารถช่วยลดริ้วรอยและจุดด่างดำใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูเต่งตึงและอ่อนเยาว์ขึ้น
- ผลลัพธ์ของการทำเลเซอร์สามารถคงอยู่ได้นานหลายเดือนถึงปี ขึ้นอยู่กับการดูแลผิวหลังการรักษา
วิธีป้องกันการเกิดริ้วรอยใต้ตา
การป้องกันการเกิดริ้วรอยบริเวณใต้ตามีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดและรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์ได้ การทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดโอกาสการเกิดริ้วรอยใต้ตาได้ในระยะยาว
- ใช้ครีมกันแดด : แสงแดดเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพ ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงและทาใต้ตาทุกวัน เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยจากแสงแดด
- ใช้ครีมบำรุงรอบดวงตา : เลือกใช้ครีมบำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของเรตินอล เปปไทด์ หรือสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยในการกระชับและให้ความชุ่มชื้น
- หลีกเลี่ยงการขยี้ตา : การถูตาหรือขยี้ตาแรง ๆ จะทำให้ผิวบริเวณรอบดวงตาเสียหายและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ : การดื่มน้ำช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและยืดหยุ่น ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอย
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ผิวใต้ตาหมองคล้ำและแห้ง ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- กินอาหารที่มีประโยชน์ : การกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผลไม้และผักสด สามารถช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของผิว
- งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ : การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ผิวเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น
- ทำการนวดเบา ๆ รอบดวงตา : การนวดเบา ๆ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดอาการบวมใต้ตา
การใช้สกินแคร์ลดเลือนริ้วรอยใต้ตา
การใช้สกินแคร์เพื่อลดเลือนริ้วรอยใต้ตาเป็นวิธีง่ายสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาด้วยตนเอง เนื่องจากเป็นการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอได้ด้วยตนเองและไม่ต้องผ่าตัด วิธีนี้สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็ก ๆ และความหมองคล้ำใต้ตาได้ หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม การใช้สกินแคร์เป็นวิธีการดูแลผิวที่ดีหากใช้ร่วมกับการดูแลสุขภาพ เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การดื่มน้ำมาก ๆ และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ซึ่งจะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยได้อย่างดี แต่วิธีอาจต้องใช้เวลาและต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
เคล็ดลับในการใช้สกินแคร์เพื่อลดเลือนริ้วรอยใต้ตา
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้รับการทดสอบและเป็นที่ยอมรับในเรื่องความปลอดภัย
- ใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณที่เพียงพอและหลีกเลี่ยงการใช้เกินความจำเป็น เนื่องจากอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง
- ผิวบริเวณใต้ตามีความบอบบาง ควรใช้ปลายนิ้วกดเบา ๆ ในการทาผลิตภัณฑ์แทนการถูแรง ๆ
- ใช้สกินแคร์ที่เหมาะสมกับผิวของคุณอย่างต่อเนื่องในทุกเช้าและเย็น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- รังสี UV สามารถทำลายคอลลาเจนและเร่งการเกิดริ้วรอย ควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงในทุก ๆ วัน เพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด
สรุป
ริ้วรอยใต้ตาหรือรอยย่นที่เกิดจากการสูญเสียความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นของผิวหนังบริเวณใต้ดวงตา ซึ่งอาจเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน การขยับกล้ามเนื้อบ่อย การขาดน้ำ การสัมผัสกับแสงแดด หรืออายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผิวหนังใต้ตาดูบางลงและเกิดการหย่อนคล้อย การดูแลรักษาด้วยการทำทรีตเมนต์ต่าง ๆ รวมถึงการดูแลตัวตนเอง สามารถช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวใต้ตาดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้ค่ะ
หากท่านใดสนใจในการลดเลือนริ้วรอย ไม่จะบริเวณไหนตาม สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account : @Lienjangthailand หรือสามารถเข้ามาติดต่อโดยตรงที่ Lienjang Clinic Thailand ทุกสาขา เจ้าหน้าที่พร้อมให้คำแนะนำและคุณหมอพร้อมให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด