คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนทำทรีตเมนต์ผิวบ่อยแค่ไหน ผิวก็ยังดูไม่กระชับเท่าที่ควร ? คำตอบอาจอยู่ที่ “ผิวชั้น SMAS” ชั้นลึกของผิวที่หลายคนมองข้าม ทั้งที่จริง ๆ แล้วเป็นหัวใจสำคัญของการยกกระชับใบหน้าอย่างแท้จริง! บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับผิวชั้น SMAS แบบเข้าใจง่าย พร้อมไขข้อข้องใจว่าทำไมการดูแลผิวแค่ผิวภายนอกอาจยังไม่พอ ห้ามพลาดบทความนี้! อ่านเลย แล้วคุณจะเข้าใจว่าการยกกระชับที่แท้จริง ต้องเริ่มจากภายใน!
มาทำความรู้จัก ผิวชั้น SMAS คืออะไร ?
ผิวชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) คือชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนังประมาณ 4.5 มิลลิเมตร มีลักษณะเป็นโครงสร้างพังผืดและกล้ามเนื้อที่เชื่อมต่อระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อบนใบหน้า ทำหน้าที่เสมือน “โครงสร้างหลัก” ที่คอยพยุงผิวและรูปหน้าให้ตึงกระชับ เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ชั้น SMAS จะเริ่มหย่อนคล้อย ส่งผลให้ใบหน้าดูไม่กระชับ กรอบหน้าไม่ชัด ซึ่งการยกกระชับผิวในระดับชั้นนี้ จึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในการฟื้นฟูความอ่อนเยาว์โดยไม่ต้องผ่าตัด
ระบบผิวหนัง มีทั้งหมดกี่ชั้น
ระบบผิวหนังของมนุษย์ประกอบด้วย 3 ชั้นหลัก ได้แก่
- หนังกำพร้า (Epidermis) เป็นชั้นผิวหนังชั้นนอกสุด ทำหน้าที่ปกป้องร่างกายจากสิ่งแวดล้อม เช่น แบคทีเรีย รังสี UV และสารเคมีต่าง ๆ
- หนังแท้ (Dermis) อยู่ถัดลงมาจากหนังกำพร้า เป็นชั้นที่มีคอลลาเจน เส้นเลือด เส้นประสาท ต่อมเหงื่อ และรูขุมขน มีบทบาทในการให้ความยืดหยุ่น ความชุ่มชื้น และความแข็งแรงแก่ผิว
- ชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Tissue หรือ Hypodermis) เป็นชั้นลึกสุดของผิวหนัง ประกอบด้วยไขมันและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ช่วยเก็บพลังงาน รักษาความอบอุ่น และรองรับแรงกระแทก
หากพูดถึงในแง่ของการยกกระชับหรือดูแลความงาม บางครั้งก็จะมีการพูดถึงชั้น SMAS ด้วย ซึ่งเป็นชั้นพังผืดกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกลงไปอีกระดับใต้ชั้นไขมัน ซึ่งไม่ได้เป็น “ชั้นผิวหนัง” โดยตรง แต่เกี่ยวข้องอย่างมากกับความกระชับของใบหน้า
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : ระบบผิวหนัง มีความสำคัญอย่างไร ? ดูแลยังไงให้ผิวแข็งแรง
ผิวหนังชั้น smas มีหน้าที่อย่างไรบ้าง ?
ผิวหนังชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ถึงแม้จะไม่จัดเป็น “ชั้นผิวหนัง” โดยตรง แต่เป็นชั้นที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง มีหน้าที่สำคัญมากโดยเฉพาะในด้านความงามและโครงสร้างใบหน้า ซึ่งหน้าที่หลักของชั้น SMAS มีดังนี้
- คอยพยุงและยึดโครงสร้างผิวหน้า เป็นเสมือนโครงร่างที่เชื่อมระหว่างผิวหนังกับกล้ามเนื้อ ช่วยให้รูปหน้าได้สัดส่วนและคงความกระชับ
- ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้า เนื่องจากเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อบนใบหน้า จึงมีส่วนช่วยให้เราสามารถแสดงสีหน้า เช่น ยิ้ม พูด หรือขมวดคิ้วได้
- มีบทบาทสำคัญในการยกกระชับผิว ชั้นนี้จะเป็นเป้าหมายของเทคโนโลยียกกระชับ เช่น Ultherapy หรือ HIFU เพราะเมื่อชั้น SMAS หย่อนคล้อย จะทำให้ผิวหน้าดูแก่และหย่อนยาน
- เป็นจุดสำคัญในการผ่าตัดดึงหน้า (Facelift surgery) ศัลยแพทย์มักจะทำการดึงกระชับที่ชั้น SMAS เพื่อให้ผลลัพธ์ยาวนานและดูเป็นธรรมชาติ
ผิวชั้น SMAS มีความสำคัญอย่างไร ?
ผิวชั้น SMAS มีความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นชั้นพังผืดและกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างหลักที่ช่วย พยุงผิวและคงรูปหน้าให้กระชับได้รูป หากชั้น SMAS เกิดการหย่อนคล้อยตามวัย ก็จะส่งผลให้ใบหน้าดูแก่ลง แก้มตก กรอบหน้าไม่ชัด และเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ตามมา ดังนั้นการดูแลหรือฟื้นฟูชั้นนี้ จึงมีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะจะช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ และคงความสวยได้ยาวนาน
สัญญาณผิวชั้น SMAS ที่หย่อนคล้อย
สัญญาณที่บ่งบอกว่า “ผิวชั้น SMAS” กำลังหย่อนคล้อย มักจะสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของรูปหน้าและสภาพผิวโดยรวม ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่ออายุเริ่มมากขึ้น หรือมีปัจจัยที่เร่งให้ผิวเสื่อมสภาพ เช่น แสงแดด ความเครียด และการพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยสัญญาณที่ชัดเจนมีดังนี้
- กรอบหน้าไม่ชัด หน้าดูเบลอ ไม่ได้รูปเหมือนเดิม
- แก้มหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณแก้มล่างและมุมปาก
- คางสองชั้น (เหนียง) เกิดจากเนื้อบริเวณคางหย่อนลง
- ร่องแก้มลึกขึ้น (Nasolabial folds) ดูมีเส้นหรือร่องชัดเมื่อแสดงสีหน้า
- ใบหน้าดูหย่อน ไม่สดใส ขาดความกระชับ รู้สึกว่าผิวไม่เฟิร์มเหมือนก่อน
- ยิ้มแล้วดูเศร้า มุมปากตก ทำให้หน้าดูเหนื่อยหรือเศร้า
- ผิวไม่ต้านแรงโน้มถ่วง รู้สึกเหมือนผิวกำลัง “ไหลลง” ตามแรงโน้มถ่วง
อายุ 30 ปีขึ้น ผิวชั้น SMAS จะเริ่มหย่อนคล้อยอย่างไร ?
เมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป ผิวชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นกล้ามเนื้อพังผืดใต้ชั้นไขมันที่มีบทบาทสำคัญในการพยุงโครงหน้า จะเริ่มแสดงสัญญาณของความหย่อนคล้อยแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากไม่ได้ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอหรือมีปัจจัยเร่ง เช่น พักผ่อนน้อย ความเครียด แสงแดด หรือพฤติกรรมที่เร่งให้ผิวเสื่อมเร็วขึ้น
- แนวกรามเริ่มไม่ชัด : กรอบหน้าที่เคยคมชัดเริ่มเบลอ มีไขมันหรือผิวหนังบริเวณกรามตกลงมา (เกิดโหนกแก้มล่างหรือแก้มย้อย)
- แก้มเริ่มหย่อนลง : ผิวแก้มเริ่มสูญเสียความกระชับ ดูตอบน้อยลงแต่ไม่แน่นเฟิร์มเหมือนเดิม
- ร่องแก้มลึกขึ้น : การที่ SMAS อ่อนแรงทำให้ผิวตกลงตามแรงโน้มถ่วง ส่งผลให้ร่องแก้มชัดขึ้น
- เกิดเหนียงหรือคางสองชั้น : ผิวบริเวณใต้คางและกรอบหน้าเริ่มหย่อนลง รวมกับไขมันสะสม
- ผิวหน้าขาดความเฟิร์ม : ผิวดูไม่ตึง ไม่กระชับ อาจเริ่มมีเส้นริ้วเล็กๆ ที่เห็นได้ชัด
หัตถการไหนบ้างที่ลงลึกถึงผิวชั้น SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด
หัตถการที่สามารถลงลึกถึง ผิวชั้น SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัดนั้นมีอยู่ไม่กี่ตัว และถือว่าเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับการ ยกกระชับใบหน้า แบบไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้น ซึ่งเหมาะมากสำหรับคนที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรืออยากฟื้นคืนรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ✨ โดยหัตถการหลัก ๆ ที่ลงถึงชั้น SMAS ได้แก่
โปรแกรม Ultherapy
โปรแกรม Ultherapy คือโปรแกรมยกกระชับผิวที่ใช้เทคโนโลยี คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ (Focused Ultrasound) เพื่อส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิว SMAS และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ ทำให้ผิวกระชับขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือใช้เข็ม เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อย หรือมีริ้วรอยเล็กน้อย เช่น บริเวณกรอบหน้า แก้ม ลำคอ หรือใต้คาง โดยผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ภายใน 2-3 เดือนหลังทำ และจะเห็นชัดเจนที่สุดใน 6 เดือน ผลลัพธ์ที่ได้ยาวนานและเป็นธรรมชาติ
การทำงานของ Ulthera ต่อผิวชั้น SMAS
โปรแกรม Ultherapy ทำงานโดยการใช้ คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ (Focused Ultrasound) ที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งสามารถส่งพลังงานลงไปถึง ชั้น SMAS เมื่อคลื่นอัลตราซาวด์ถูกส่งลงไปถึงชั้น SMAS พลังงานนี้จะทำให้เกิดความร้อนในบริเวณนั้น ซึ่งกระตุ้นให้ คอลลาเจน และ อิลาสติน ในผิวหนังทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ผิวเริ่มฟื้นฟูและกระชับขึ้นจากภายใน โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัด
ผลลัพธ์ที่ได้คือผิวที่กระชับขึ้น ลดความหย่อนคล้อยของใบหน้า เช่น บริเวณกรอบหน้า แก้ม หรือใต้คาง และจะเห็นผลค่อย ๆ ดีขึ้นใน 2-3 เดือนหลังจากทำโปรแกรม Ultherapy จึงถือเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และยกกระชับผิวหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : Ulthera ยกกระชับหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด คืออะไร? ราคาเท่าไร?
โปรแกรม Morpheus8
โปรแกรม Morpheus8 คือโปรแกรมยกกระชับผิวหน้าและปรับรูปหน้าที่รวมเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ (RF) เข้ากับการใช้เข็มขนาดเล็ก (Microneedling) โดยสามารถส่งพลังงานลงลึกได้ถึงชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่แพทย์ศัลยกรรมใช้ในการดึงหน้า ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ลดไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด เช่น แก้มล่างหรือเหนียง
และฟื้นฟูผิวให้เรียบเนียน รูขุมขนกระชับ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผิวกระชับและหน้าเรียวได้รูปโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ชัดขึ้นภายใน 1-2 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน
การทำงานของโปรแกรม Morpheus8 ต่อผิวชั้น SMAS
โปรแกรม Morpheus8 ทำงานโดยการใช้เทคโนโลยี RF Microneedling ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการใช้ คลื่นวิทยุ และ เข็มขนาดเล็ก ที่ถูกฝังเข้าไปในผิวหนัง เพื่อนำพลังงานลงลึกถึงชั้น SMAS เมื่อเข็มขนาดเล็กเจาะลงไปในผิวและปล่อยพลังงานคลื่นวิทยุลงไปในชั้นลึก จะทำให้เกิด ความร้อน ซึ่งกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจนใหม่ และช่วยยกกระชับผิว
โดยเฉพาะในชั้น SMAS ซึ่งช่วยให้ผิวหน้า กระชับขึ้น ลดความหย่อนคล้อยและปรับรูปร่างของใบหน้า เช่น การยกกระชับกรอบหน้า ลดเหนียง หรือยกกระชับแก้ม โปรแกรม Morpheus8 จึงเป็นการยกกระชับผิวที่ลงลึกถึงชั้น SMAS โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นและกระชับขึ้นจากภายใน
อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : Morpheus8 ยกกระชับ ปรับสีผิว ในหนึ่งเดียว
ทำไมต้องยกกระชับผิวถึงชั้น SMAS ?
การยกกระชับผิวถึงชั้น SMAS เป็นสิ่งสำคัญเพราะ ชั้น SMAS เป็นชั้นที่มีบทบาทสำคัญในการรองรับโครงสร้างของใบหน้า รวมถึงความกระชับและความยืดหยุ่นของผิว เมื่อชั้นนี้หย่อนคล้อยหรือสูญเสียความยืดหยุ่นไปตามอายุหรือปัจจัยอื่นๆ เช่น แสงแดดและมลภาวะ ก็จะทำให้เกิดสัญญาณความแก่ เช่น ผิวหน้าหย่อนคล้อย แก้มตก ร่องแก้มลึก และเหนียงใต้คาง
การลงลึกถึงชั้น SMAS ในการยกกระชับผิวจะช่วย ฟื้นฟูความยืดหยุ่นของชั้นผิวนี้ โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งจะช่วยยกกระชับผิวหน้า และปรับโครงหน้าให้กลับมาดูเรียบเนียนและมีความกระชับมากขึ้น ดังนั้นการยกกระชับที่ลงลึกถึงชั้น SMAS จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูโครงสร้างผิว และ ลดการหย่อนคล้อยในระยะยาว โดยไม่ต้องใช้การผ่าตัด
ข้อควรระวังก่อนทำหัตถการยกกระชับผิวชั้น SMAS
ก่อนทำหัตถการยกกระชับผิวชั้น SMAS เช่น Ultherapy หรือ Morpheus8 ควรพิจารณาข้อควรระวังต่างๆ เพื่อให้การทำหัตถการปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ข้อควรระวังมีดังนี้
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ควรพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการทำหัตถการนี้เพื่อประเมินสภาพผิวและตรวจสอบว่าหัตถการนั้นเหมาะสมกับสภาพผิวของคุณหรือไม่
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด หากคุณใช้ยาที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Aspirin, Warfarin) หรือยาบางชนิดที่มีผลต่อการห้ามเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการทำหัตถการ
- หลีกเลี่ยงการทำหัตถการในช่วงที่มีผิวบาดเจ็บหรือการติดเชื้อ หากมีการติดเชื้อหรือการอักเสบในบริเวณที่ต้องการทำหัตถการ ควรรอให้การอักเสบหายก่อน
- หลีกเลี่ยงการทำหัตถการในช่วงที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หญิงที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรหลีกเลี่ยงหัตถการยกกระชับผิว เนื่องจากยังไม่มีการวิจัยรองรับความปลอดภัยในระหว่างการตั้งครรภ์หรือให้นม
- หลีกเลี่ยงการทำหัตถการหลังการรักษาผิวอื่นๆ หากคุณเพิ่งทำการรักษาผิวประเภทอื่น เช่น การผลัดเซลล์ผิวหรือการใช้กรดหรือสารเคมี ควรรอให้ผิวฟื้นฟูสมบูรณ์ก่อน
- การเตรียมผิวก่อนทำหัตถการ อาจต้องทำการเตรียมผิวเพื่อให้ผลลัพธ์ดียิ่งขึ้น เช่น การทำความสะอาดผิวหน้าอย่างละเอียดก่อนทำหัตถการ และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือครีมที่มีสารกระตุ้นก่อนทำ
- ความคาดหวังที่เหมาะสม ควรเข้าใจว่า ผลลัพธ์ จะเริ่มเห็นหลังจากประมาณ 2-3 เดือน และอาจต้องทำการรักษาหลายครั้งเพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้นและยาวนาน
คำนึงถึงปัญหาผิวพรรณ หากคุณมีปัญหาผิวที่รุนแรง เช่น ผิวบางหรือมีอาการแพ้ง่าย ควรแจ้งแพทย์ก่อน เพื่อประเมินความเหมาะสมของการทำหัตถการ
ทำไมหัตถการตัวอื่นไม่สามารถลงลึกไปถึงผิวชั้น SMAS
หัตถการบางประเภทไม่สามารถลงลึกไปถึง ผิวชั้น SMAS ได้เนื่องจาก ข้อจำกัดของเทคโนโลยี และ วิธีการทำงาน ของแต่ละหัตถการที่แตกต่างกันค่ะ โดยเหตุผลหลัก ๆ คือ
- SMAS เป็นชั้นผิวที่อยู่ลึกลงไปจากผิวชั้นบนสุด (epidermis) และชั้นหนังแท้ (dermis) ประมาณ 4.5-5 มม. ซึ่งจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่มีความแม่นยำในการส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นนี้
- หัตถการบางประเภท เช่น RF หรือการใช้เลเซอร์บางตัว อาจจะมีพลังงานที่ไม่สามารถลงลึกถึงชั้น SMAS ได้ หรือสามารถลงได้แค่ผิวหนังชั้นบนหรือหนังแท้เท่านั้น ซึ่งจะได้ผลเพียงแค่การปรับสภาพผิวและคอลลาเจนในชั้นผิวที่ตื้นกว่า ไม่สามารถกระตุ้นชั้น SMAS ที่มีความสำคัญในการยกกระชับใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เทคโนโลยีบางอย่าง เช่น RF (Radio Frequency) หรือ Microneedling ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังที่ตื้นกว่า แต่ไม่สามารถกระตุ้นชั้น SMAS โดยตรง ซึ่งจะได้ผลแค่ในระดับการกระชับผิวที่ไม่ลึกถึงโครงสร้างที่รองรับความกระชับจริงๆ ในใบหน้า
- เทคโนโลยีการส่งพลังงาน เช่น เลเซอร์บางประเภท มักทำงานในชั้นผิวที่ตื้นกว่า ซึ่งเหมาะกับการรักษาผิวพรรณ ปรับสีผิว หรือปรับความเรียบเนียน แต่ไม่สามารถเจาะลึกถึง ชั้น SMAS ที่ต้องการพลังงานที่เข้มข้นและแม่นยำกว่า
ยกกระชับผิวถึงชั้น SMAS ที่ Lienjang Clinic ดีกว่าที่อื่นอย่างไร ?
ที่ Lienjang Clinic การยกกระชับผิวถึงชั้น SMAS ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง เช่น Ultherapy และ Morpheus8 โดย Lienjang Clinic เลือกใช้เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากมาตรฐานสากล พร้อมทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์และเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี ทำให้คุณมั่นใจได้ในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการ
นอกจากนี้ Lienjang Clinic ยังมุ่งเน้นการดูแลและปรับแต่งโปรแกรมให้เหมาะสมกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยให้การยกกระชับผิวถึงชั้น SMAS ได้ผลดีและเห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยการทำหัตถการแต่ละครั้งจะได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรับแต่งโปรแกรมที่เหมาะสมกับปัญหาผิวและเป้าหมายที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการยกกระชับใบหน้า ลดริ้วรอย หรือแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่เห็นผลชัดเจนและยาวนาน
สรุป
ผิวชั้น SMAS คือชั้นพังผืดที่อยู่ลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนัง มีหน้าที่สำคัญในการรองรับและพยุงโครงสร้างของใบหน้า เช่น กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่าง ๆ เมื่ออายุมากขึ้น ชั้น SMAS จะเริ่มเสื่อมสภาพและหย่อนคล้อย ส่งผลให้ใบหน้าดูโรยและขาดความกระชับ ดังนั้นการยกกระชับผิวที่ลงลึกถึงชั้น SMAS จึงมีความสำคัญมาก เพราะเป็นการฟื้นฟูจากโครงสร้างภายใน ช่วยให้ใบหน้ากลับมากระชับ เต่งตึง และดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องผ่าตัด หากคุณสนใจโปรแกรมดูแลผิว ยกกระชับผิว สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account : @Lienjangthailand
