ปัญหาปากบาง ปากไม่เป็นทรง ปากแห้ง ทาลิปแล้วตกร่อง แต่อยากที่จะมีทรงปากที่สวย ฉีดฟิลเลอร์ปากสามารถช่วยได้! ปากเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะช่วยเสริมความสวยงามและความมั่นใจ การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในการปรับรูปทรงปากให้สวยขึ้น และเป็นหัตถการที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสามารถช่วยเพิ่มวอลลุ่มให้กับริมฝีปากได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงริมฝีปากที่แห้ง หรือตกร่อง ให้กลับมาชุ่มชื้น เรียบเนียน ฉ่ำวาว พร้อมปรับความหมองคล้ำของริมฝีปากให้มีสีที่อ่อนลงได้
สำหรับใครที่กำลังสนใจอยากที่จะฉีดฟิลเลอร์อยู่ แล้วอยากศึกษาข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉีดปากด้วยฟิลเลอร์ วันนี้ Lienjang Clinic Thailand ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์มาให้คุณแล้ว พร้อมวิธีการดูแลตัวเองก่อนและหลังฉีด จะเป็นอย่างไรไปดูกันเลย!
ฟิลเลอร์ปาก คืออะไร ?
ฟิลเลอร์ปาก คือ การฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในริมฝีปาก (Filler) เพื่อเพิ่มความหนา ปรับรูปทรง หรือปรับความสมดุลของริมฝีปาก เพื่อให้ริมฝีปากดูเต็มอิ่มและสวยงามตามที่ต้องการ สารที่ใช้ในฟิลเลอร์มักจะเป็นสารที่สามารถสลายไปได้ตามธรรมชาติ ไม่เป็นอันตราย หากใช้ฟิลเลอร์แท้ และทำการฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ
ฟิลเลอร์ปาก ช่วยอะไรบ้าง ?
การฉีดฟิลเลอร์ปากมีประโยชน์หลายอย่าง สำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงลักษณะของริมฝีปากให้ดูเต็มอิ่มและสวยงามขึ้น และข้อดังต่อไปนี้คือประโยชน์หลัก ๆ ของการฉีดฟิลเลอร์
- เพิ่มความเต็มอิ่มของริมฝีปาก: การฉีดฟิลเลอร์ช่วยให้ริมฝีปากดูหนาและเต็มอิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการเพื่อให้ลุคดูสุขภาพดีและมีความเยาว์วัย
- ปรับรูปทรงของริมฝีปาก: สามารถใช้เพื่อปรับแต่งรูปทรงของริมฝีปาก ทำให้ได้รูปที่สวยงามและสมดุลมากขึ้น เช่น การปรับให้ริมฝีปากบนและล่างมีสัดส่วนที่สมดุลกัน
- แก้ไขปัญหาริมฝีปาก: หากริมฝีปากมีลักษณะที่ไม่เท่ากัน ฟิลเลอร์สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้โดยการเติมเต็มบริเวณที่ต้องการ
- ลดรอยย่นและร่องลึก: การฉีดฟิลเลอร์ที่ปากสามารถช่วยลดรอยย่นและร่องลึกบริเวณรอบริมฝีปาก ทำให้ดูเรียบเนียนขึ้น
- ปรับปรุงขอบปาก: สามารถใช้เพื่อปรับปรุงขอบปาก ให้ชัดเจนและมีรูปทรงที่สวยงามยิ่งขึ้น
ทรงปากที่เป็นที่นิยมในไทย
ในประเทศไทย ทรงปากที่เป็นที่นิยมมีหลากหลายสไตล์ แต่หลัก ๆ แล้ว มักจะนิยมทรงที่ดูเป็นธรรมชาติ สไตล์เกาหลี เต็มอิ่ม และมีวอลลุ่ม เช่น
1. ทรงปากกระจับ
ทรงปากกระจับเป็นทรงที่มีการเน้นริมฝีปากบนให้มีลักษณโค้งสวยคล้ายกับผลกระจับ โดยมักจะมีรูปทรงของริมฝีปากบนที่คมชัดและริมฝีปากล่างที่มีความเต็มอิ่ม เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนไทยเพราะทำให้หน้าดูหวาน น่ารัก และดูมีเสน่ห์
2. ทรงปากสายฝอ
มีรูปทรงที่อวบอิ่ม ฉ่ำวาว เป็นที่นิยมในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย มีลักษณะริมฝีปากหนาและเต็มอิ่ม ทั้งริมฝีปากล่างและบน เหมาะกับคนที่มีโครงหน้าคม ตาชัด จมูกชัด จะช่วยปรับลุคให้ดูเฉี่ยวคม มักจะเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการลุคที่ดูโดดเด่นและมีความเซ็กซี่
3. ทรงปากเกาหลี
รูปทรงปากมีความอวบอิ่มเล็กน้อย เป็นกระจับเล็ก ๆ และยกมุมปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย แบบสาวเกาหลีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในไทย ทำให้ดูน่ารักและดูจิ้มลิ้ม น่าจุ๊บ ให้ลุคที่ดูหวาน สุขภาพดี เหมาะกับผู้ที่ต้องการเพิ่มความน่าสนใจและความน่ารักให้กับใบหน้า
*ข้อควรรู้ การเลือกทรงปากที่เหมาะสมควรพิจารณาจากลักษณะใบหน้าและความต้องการของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินทรงปากที่เหมาะสมกับคุณ โดยคำนึงถึงความสมดุลและความเป็นธรรมชาติเป็นหลัก*
ฉีดฟิลเลอร์ปากอันตรายไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างปลอดภัยหากดำเนินการโดยแพทย์ผู้ชำนาญและใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามการฉีดฟิลเลอร์ยังคงมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ควรศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
- อาการบวมและช้ำ: เป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยและมักจะหายไปเองในไม่กี่วัน
- อาการปวด: อาจมีความเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยยาลดปวด
- การแพ้: แม้ว่าจะเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่บางคนอาจมีปฏิกิริยาการแพ้ต่อฟิลเลอร์
- การติดเชื้อ: หากไม่ได้ปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่เหมาะสม การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้
- การเกิดก้อน: ฟิลเลอร์อาจเกิดการจับตัวเป็นก้อนใต้ผิวหนัง ทำให้ริมฝีปากไม่เรียบเนียน
- ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์: การฉีดฟิลเลอร์บางกรณีผลลัพธ์ตามไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ซึ่งอาจมีการปรับแก้ไขเพิ่มเติม
วิธีลดความเสี่ยงในการฉีดฟิลเลอร์ปาก
- เลือกแพทย์ผู้ชำนาญ: การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และได้รับการรับรอง จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลลัพธ์ที่ดี
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน: ตรวจสอบว่าฟิลเลอร์ที่ใช้ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เช่น อย. หรือ FDA
- การปรึกษาก่อนฉีด: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมและความต้องการของคุณ รวมถึงการแจ้งประวัติการแพ้ยา
- ปฏิบัติตามคำแนะนำหลังการฉีด: การดูแลตนเองหลังการฉีดเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
ใครบ้างที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก ?
การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับหลาย ๆ คนที่ต้องการปรับปรุงลักษณะของริมฝีปากให้ดูเต็มอิ่มและมีรูปทรงที่สวยงามขึ้น มาเช็คกันเลยว่าตนเองเหมาะกันการฉีดฟิลเลอร์หรือไม่
- ผู้ที่มีริมฝีปากบาง: ฟิลเลอร์สามารถช่วยเพิ่มความหนาและความเต็มอิ่มให้กับริมฝีปาก ทำให้ลุคดูสวยงามและมีเสน่ห์มากขึ้น
- ผู้ที่มีริมฝีปากไม่สมมาตร: ฟิลเลอร์สามารถช่วยปรับสมดุลระหว่างริมฝีปากบนและล่าง หรือแก้ไขปัญหาริมฝีปากที่ไม่เท่ากัน
- ผู้ที่มีร่องลึก: ฟิลเลอร์สามารถช่วยลดรอยย่นและร่องลึก ทำให้ริมฝีปากดูเรียบเนียนและเต็มอิ่มมากขึ้น
- ผู้ที่ต้องการปรับปรุงของริมฝีปาก: ฟิลเลอร์สามารถช่วยปรับแต่งรูปทรงของริมฝีปากให้สวยงามและได้รูปตามที่ต้องการ เช่น ปากกระจับหรือปากสายฝอ
- ผู้ที่ขาดความชุ่มชื้น: สารฟิลเลอร์อย่างไฮยาลูโรนิกแอซิดมีคุณสมบัติในการกักเก็บน้ำ ทำให้ริมฝีปากดูชุ่มชื้นและสุขภาพดีขึ้น
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ปรับแต่งได้ตามต้องการ: ฟิลเลอร์สามารถปรับขนาดและรูปร่างได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล ทำให้สามารถปรับแต่งริมฝีปากได้อย่างละเอียด
- ผู้ที่ไม่ต้องการผ่าตัดหรือพักฟื้นนาน: การฉีดฟิลเลอร์เป็นกระบวนการที่ไม่ต้องผ่าตัดและไม่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน ผู้รับบริการสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้เกือบจะทันที
- ผู้ที่มีปัญหาริมฝีปากจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด: ฟิลเลอร์สามารถช่วยแก้ไขและฟื้นฟูรูปร่างของริมฝีปากที่ได้รับผลกระทบจากการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด
*ข้อควรพิจารณา แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับทุกคน ผู้ที่มีภาวะการแพ้สารฟิลเลอร์ มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด หรือมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนตัดสินใจรับการฉีดฟิลเลอร์*
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ ?
แม้ว่าการฉีดฟิลเลอร์จะเป็นวิธีที่นิยมและมีประโยชน์ในการปรับปรุงรูปลักษณ์ของใบหน้าและริมฝีปาก แต่ก็ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน และข้อดังต่อไปนี้คือกลุ่มคนที่อาจไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์
- ผู้ที่แพ้สารฟิลเลอร์: หากเคยมีปฏิกิริยาแพ้ต่อสารฟิลเลอร์หรือส่วนประกอบที่ใช้ในฟิลเลอร์ ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์เพื่อป้องกันการเกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์
- ผู้ที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด: หากมีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดหรือกำลังใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน ยาต้านการแข็งตัวของเลือด การฉีดฟิลเลอร์อาจทำให้เกิดการช้ำและเลือดออกได้ง่าย
- ผู้ที่มีโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง: คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการฟื้นฟูช้า ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์อาจไม่เหมาะสม
- ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์: หากมีการติดเชื้อ เช่น เริม สิว หรือการอักเสบที่บริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ ควรรอให้การติดเชื้อหายดีก่อนที่จะทำการฉีด
- ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร: ยังไม่มีการวิจัยที่แน่ชัดเกี่ยวกับความปลอดภัยของการฉีดฟิลเลอร์ในผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการฉีดในช่วงนี้
- ผู้ที่มีปัญหาทางผิวหนังเรื้อรัง: หากมีปัญหาทางผิวหนังเรื้อรัง เช่น โรคผิวหนังอักเสบ โรคสะเก็ดเงิน การฉีดฟิลเลอร์อาจทำให้สภาพผิวแย่ลง
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปาก
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากมีความสำคัญ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ควรเตรียมตัวได้่ดังข้อต่อไปนี้
- ปรึกษากับแพทย์: ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ ควรพบแพทย์หรือผู้แพทย์ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความต้องการของคุณและประเมินความเหมาะสมของการฉีดฟิลเลอร์
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด: หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินหรือยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ก่อนการฉีดประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพราะยาดังกล่าว
- อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำหรือเลือดออกจำนวนมาก
- งดดื่มแอลกอฮอล์: งดการดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดรอยช้ำ
- หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด: หลีกเลี่ยงการทำให้ปากเกิดการระคายเคือง เช่น การรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดหรือรสจัดในช่วงวันก่อนการฉีด
- พักผ่อนให้เพียงพอ: ควรพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันทำการฉีด เพื่อให้ร่างกายและผิวฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่
การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก
หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ปาก การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ซึ่งจะช่วยให้การฟื้นฟูเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ข้อควรปฏิบัติหลังการฉีดที่ถูกต้องมีดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสปาก: หลีกเลี่ยงการจับหรือกดบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนจนไม่เป็นทรงและไม่เรียบเนียน
- งดการออกกำลังกายหนัก: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนักหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากใน 24-48 ชั่วโมงหลังการฉีด เพื่อป้องกันการเกิดรอยช้ำหรือการบวม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับความร้อน: หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีความร้อนสูง และงดทานอาหารที่ร้อนจัด เช่น การอาบน้ำร้อนหรือการใช้ซาวน่า การซดน้ำซุปร้อน ๆ ใน 48 ชั่วโมงแรก
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์: งดการดื่มแอลกอฮอล์ใน 24 ชั่วโมงหลังการฉีด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำและบวม
- ใช้ความเย็น: หากมีการบวม สามารถใช้ผ้าหรือเจลทำความเย็นประคบเบา ๆ บริเวณที่ฉีดได้
- ดูแลความสะอาด: รักษาความสะอาดของบริเวณที่ฉีดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: ปฏิบัติตามคำแนะนำเฉพาะจากแพทย์ ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยา
ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปาก
การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างรวดเร็วและมีขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งประกอบด้วยขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้
- การปรึกษากับแพทย์: แพทย์จะทำการประเมินลักษณะของริมฝีปากของคุณและพูดคุยเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ต้องการ และแพทย์จะตรวจสอบประวัติการแพ้ยา
- ปัญหาสุขภาพที่อาจมีผลต่อการฉีดฟิลเลอร์ และการใช้ยาอื่น ๆ ที่อาจมีผลกระทบ
- การเตรียมตัว: แพทย์จะทำความสะอาดบริเวณริมฝีปากเพื่อป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงแพทย์จะทายาชา เพื่อทำให้บริเวณที่ฉีดรู้สึกชาและลดความเจ็บปวด
- การฉีดฟิลเลอร์: แพทย์จะเลือกชนิดและปริมาณของฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ และใช้เข็มขนาดเล็กในการฉีดฟิลเลอร์ ฉีดไปในบริเวณที่
- ต้องการปรับแต่ง และแพทย์จะตรวจสอบผลลัพธ์เบื้องต้น ตรวจเช็คผลลัพธ์ให้ออกและฟิลเลอร์มีความกระจายตัวที่ดูเป็นธรรมชาติ
- การดูแลหลังการฉีด: แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลหลังการฉีด หากมีอาการบวม แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาแก้อักเสบหรือยาลดบวม และทำการนัดติดตามผล เพื่อประเมินผลลัพธ์และจัดการกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- การฟื้นฟู: โดยปกติผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์จะเห็นได้ชัดทันที สามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ทันที แต่การบวมและช้ำเล็กน้อยอาจเกิดขึ้นและมักจะหายไปในไม่กี่วัน
ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาเท่าไร?
ในการฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคามักแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้, ปริมาณที่ต้องการ, สถานที่ที่ให้บริการ และประสบการณ์ของแพทย์ โดยทั่วไปแล้วในประเทศไทย ราคาของการฉีดฟิลเลอร์ที่ปากจะเริ่มต้นที่ประมาณ 8,000-20,000 บาท ต่อหนึ่งซีซี ซึ่งราคาอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามคุณภาพและยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้
นอกจากนี้ อาจจะมีค่าบริการอื่น ๆ เช่น การให้คำปรึกษาก่อนการฉีด หรือการทำหัตถการอื่น ๆ เพิ่มเติม การตรวจสอบและเปรียบเทียบราคาจากสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการบริการจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นค่ะ
ฉีดฟิลเลอร์ปากเจ็บไหม ?
การฉีดฟิลเลอร์ปากอาจรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยในขณะที่ฉีด แต่ความรู้สึกเจ็บจะขึ้นอยู่กับความเจ็บของแต่ละบุคคล รวมถึงวิธีการฉีดของแพทย์แต่ละบุคคลด้วย ซึ่งในตัวฟิลเลอร์เองก็มีส่วนผสมของยาชาประกอบด้วยอยู่แล้วจึงทำให้รู้สึกเจ็บไม่มาก
ฉีดฟิลเลอร์ปากบวมกี่วัน ?
หลังการฉีดฟิลเลอร์ปาก การบวมเป็นเรื่องปกติและมักจะเกิดขึ้นได้ แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆหลังการฉีด โดยมีระยะเวลาดังนี้
- 1-3 วันแรก: การบวมจะยังคงมีอยู่ แต่จะค่อย ๆ ลดลง หากมีรอยช้ำหรือบวมมาก ควรดูแลตามคำแนะนำของแพทย์
- 1 สัปดาห์: การบวมจะลดลงอย่างมากและเริ่มเห็นรูปทรงของปากที่ฉีดฟิลเลอร์ได้ชัดเจนขึ้น
- 2 สัปดาห์: ส่วนใหญ่การบวมจะเกือบหายไป และผลลัพธ์เห็นชัดเจนที่สุด
ฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานแค่ไหน ?
การฉีดฟิลเลอร์ปากทั่วไปสามารถอยู่ได้นานประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่ใช้และความสามารถในการดูดซึมและฟื้นฟูของร่างกาย อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะเริ่มลดลงเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ซ้ำจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ยาวนานขึ้น
ฟิลเลอร์ปากควรฉีดกี่ CC ?
ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ในการฉีดปากจะขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคลและความหนาของริมฝีปากที่ต้องการเพิ่ม แต่โดยทั่วไปมักจะใช้ประมาณ 0.5 ถึง 1 CC ต่อครั้ง สำหรับคนที่ต้องการเพิ่มความเต็มอิ่มให้ริมฝีปากมากขึ้นหรือเน้นทรงปากสายฝอ อาจจะต้องใช้มากกว่านี้ และการฉีดมากเกินไปอาจทำให้ผลลัพธ์ดูไม่เป็นธรรมชาติได้ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดปริมาณที่เหมาะสมสำหรับคุณ
ฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วเป็นก้อนหรือไม่ ?
บางคนฉีดฟิลเลอร์ปากแล้วรู้สึกว่ามีก้อนในริมฝีปาก ไม่เรียบเนียน จนทำให้เกิดความกังวล เกิดจากหลายสาเหตุดังนี้
- การกระจายตัวไม่สม่ำเสมอ: ฟิลเลอร์อาจไม่กระจายตัวอย่างทั่วถึง ซึ่งอาจทำให้เกิดก้อนหรือคลื่นบริเวณที่ฉีด
- ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้: การใช้ฟิลเลอร์มากเกินไปในพื้นที่เดียวกันอาจทำให้เกิดการจับตัวเป็นก้อน
- เทคนิคการฉีด: เทคนิคการฉีดที่ไม่ถูกต้องหรือแรงดันที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ฟิลเลอร์ไม่กระจายตัวอย่างเรียบเนียน
- ชนิดของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์บางชนิดอาจมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดก้อนหรือไม่เหมาะกับบริเวณที่ที่ฉีด
- การตอบสนองของร่างกาย: บางคนอาจมีการตอบสนองที่แตกต่างต่อฟิลเลอร์ ทำให้เกิดการจับตัวเป็นก้อน
- การดูแลหลังการฉีด: การทำกิจกรรมที่รุนแรงหรือการดูแลหลังการฉีดที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดปัญหานี้ได้
*ข้อควรรู้ ฉีดฟิลเลอร์สามารถเป็นก้อนได้ เนื่องจากเนื้อฟิลเลอร์ยังไม่กลืนไปกับผิวจึงดูเป็นก้อน จะค่อย ๆ ยุบประมาณ 1 – 2 สัปดาห์หลังฉีด และขึ้นอยู่กับเนื้อฟิลเลอร์ที่ใช้ หากฟิลเลอร์ที่ใช้เนื้อแข็ง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกว่าเป็นก้อน แต่จะค่อย ๆ เนียนไปกับผิวภายใน 1 – 2 เดือน*
เลือกฟิลเลอร์ปาก ยี่ห้อไหนดี ?
การเลือกฟิลเลอร์ปาก ยี่ห้อไหนดีที่สุดขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความต้องการส่วนตัว , ประสบการณ์ของแพทย์ , และคุณสมบัติของฟิลเลอร์แต่ละชนิด นี่คือยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ได้รับความนิยมและมีคุณภาพในปัจจุบัน
- Juvederm: ฟิลเลอร์ที่มีชื่อเสียงและได้รับการรับรองจาก FDA มีหลายรุ่น เช่น Juvederm Ultra และ Juvederm Volbella ซึ่งเหมาะกับการเติมเต็มและปรับรูปทรงของปาก
- Restylane: อีกหนึ่งฟิลเลอร์ที่มีชื่อเสียง มีรุ่นต่าง ๆ เช่น Restylane Silk และ Restylane Kysse ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ความเต็มอิ่มและความเรียบเนียน
- Belotero: ฟิลเลอร์นี้มีลักษณะบางเบาและมักใช้สำหรับการเติมเต็มและการปรับรูปทรงของปากให้เรียบเนียน
- Radiesse: ฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของแคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์ เหมาะสำหรับการเติมเต็มและกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในผิวหนัง
*แต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติและข้อดีที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการด้านความงามเพื่อเลือกฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับความต้องการและสภาพผิวของคุณ*
โปรมแกรมฟิลเลอร์ปาก รีวิวที่ Lienjang
สรุป
การฉีดฟิลเลอร์ปากเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับสาว ๆ ในยุคนี้ที่สุด ที่เสกทรงปากให้ดูอวบอิ่ม ทรงสวยแบบทันใจ เพราะเป็นกระบวนการที่ปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว หากดำเนินการโดยแพทย์ผู้ที่มีประสบกาณ์และใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตามควรตระหนักถึงความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และเตรียมตัวให้พร้อมด้วยการปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด หากท่านใดสนใจอยากเพิ่มความอวบอิ่มและรูปปากที่สวยขึ้น สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account : @Lienjangthailand หรือสามารถเข้ามาติดต่อโดยตรงที่ Lienjang Clinic Thailand ทุกสาขาใกล้บ้านท่าน เจ้าหน้าที่พร้อมให้คำแนะนำและคุณหมอพร้อมให้การดูแลอย่างใกล้ชิด