บทความ

Article

เจาะลึก! สิวฮอร์โมน คืออะไร ? ทำอย่างไรให้หน้ากลับมาเนียนใส
Facebook
X
Email

เจาะลึก! สิวฮอร์โมน คืออะไร ? ทำอย่างไรให้หน้ากลับมาเนียนใส

หัวข้อที่น่าสนใจ

คุณเคยสงสัยไหมว่า สิวฮอร์โมน คืออะไร และทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับเรา? หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาสิวที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยและให้คำตอบเกี่ยวกับสิวอย่างครบถ้วน! เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับสาเหตุการเกิดสิวและวิธีการรักษาที่เหมาะสมเพื่อให้ผิวกลับมาสวยใสอีกครั้ง

หากคุณอยากรู้วิธีที่สามารถ ฟื้นฟูผิวให้กลับมาเนียนใส และลดการเกิดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรพลาดบทความนี้! เรามีข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมฮอร์โมนจนถึงวิธีการดูแลผิวด้วยเทคนิคที่ทันสมัย พร้อมแนะนำวิธีที่ง่ายและได้ผลในการดูแลผิวของคุณให้สวยสมบูรณ์แบบ ห้ามพลาด!

สิวฮอร์โมน เป็นยังไง ? คืออะไร ?

สิวฮอร์โมน เป็นยังไง ? คืออะไร ?

สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) เป็นสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อการผลิตน้ำมัน (Sebum) ของต่อมไขมันในผิวหนัง ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวตามมา มักพบได้ในช่วงวัยรุ่น แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถมีสิวฮอร์โมนได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงตามรอบเดือน หรือในช่วงตั้งครรภ์และวัยหมดประจำเดือน

สิวฮอร์โมน มีลักษณะเป็นอย่างไร ?

สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) เป็นสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย มักพบในวัยรุ่นหรือช่วงที่ฮอร์โมนไม่สมดุลซึ่งมีลักษณะ ดังนี้

  • สิวอุดตัน คือ สิวที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขน เนื่องจากน้ำมันส่วนเกิน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกสะสม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ สิวหัวขาว (Whiteheads) ที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กสีขาวและสิวหัวดำ ที่เกิดจากการเปิดสัมผัสกับอากาศจนเปลี่ยนเป็นสีดำ
  • สิวอักเสบ คือ สิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ส่งผลให้เกิดการอักเสบและบวมแดง ลักษณะของสิวอักเสบมีตั้งแต่ตุ่มแดงขนาดเล็ก ตุ่มหนอง ไปจนถึงสิวขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเป็นก้อนใต้ผิวหนัง ซึ่งมักเจ็บและอาจทิ้งรอยแผลเป็น
  • สิวหัวช้าง (Nodular Acne หรือ Cystic Acne) เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดลึกลงไปในชั้นผิวหนัง มีลักษณะเป็นก้อนใหญ่ แข็ง เจ็บปวด และไม่มีหัวสิวชัดเจน มักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย P. acnes และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่รุนแรง ส่งผลให้เกิดการอักเสบลึก และอาจทิ้งรอยแผลเป็นลึกหรือหลุมสิวหลังการหาย

ฮอร์โมนเกี่ยวข้องอย่างไรกับสิว ?

ฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการเกิดสิว โดยเฉพาะ ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่พบในทั้งชายและหญิง แต่มีปริมาณสูงในผู้ชาย ฮอร์โมนนี้กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันใต้ผิวหนังให้ผลิตน้ำมัน มากเกินไป เมื่อมีน้ำมันสะสมมาก ร่วมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรก จะทำให้รูขุมขนอุดตันและกลายเป็นสิว

นอกจากนี้ ฮอร์โมนยังส่งผลให้ผิวมีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบง่ายขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดสิวอักเสบหรือสิวหัวช้าง ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง เช่น ช่วงวัยรุ่น ก่อนมีประจำเดือน ระหว่างตั้งครรภ์ หรือในผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนผิดปกติ เช่น PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) ล้วนเป็นช่วงที่สิวมักเกิดขึ้นได้ง่าย

มารู้จักต้นตอของสิวฮอร์โมน เกิดจากอะไร ?

มารู้จักต้นตอของสิวฮอร์โมน เกิดจากอะไร ?

สิวฮอร์โมน (Hormonal acne) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะในช่วงที่ฮอร์โมนเพศชาย (androgens) สูงขึ้น ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์ เช่น

  1. ช่วงวัยรุ่น : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยรุ่นทำให้ต่อมไขมันในผิวหนังผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งสามารถนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนและเกิดสิวได้
  2. ช่วงรอบเดือน : ผู้หญิงบางคนอาจพบสิวเกิดขึ้นในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในรอบเดือน (ก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน)
  3. การตั้งครรภ์ : ระดับฮอร์โมนในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงระหว่างการตั้งครรภ์ก็อาจกระตุ้นการเกิดสิวได้
  4. ยาคุมกำเนิดหรือการหยุดยาคุมกำเนิด : ฮอร์โมนที่มีในยาคุมกำเนิดอาจส่งผลกระทบต่อการเกิดสิว
  5. สภาวะทางสุขภาพ : เช่น ภาวะ PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) ซึ่งทำให้มีฮอร์โมนเพศชายสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น

สิวฮอร์โมน ขึ้นตรงไหนบ้าง ?

สิวฮอร์โมนมักจะขึ้นในบริเวณที่มีการผลิตน้ำมันมาก ซึ่งสามารถพบได้ในพื้นที่เหล่านี้

  1. บริเวณกรามและคาง : เป็นที่ที่พบสิวฮอร์โมนได้บ่อยที่สุด เนื่องจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในช่วงรอบเดือนมักจะส่งผลกระทบต่อบริเวณนี้
  2. หน้าผาก : สิวอาจขึ้นที่หน้าผากได้เช่นกัน โดยมักจะเกิดในรูปแบบของสิวที่ลึกและเจ็บ
  3. บริเวณข้างจมูก : บริเวณนี้อาจมีสิวฮอร์โมนขึ้นได้เช่นกัน
  4. บริเวณหลังและหน้าอก : ในบางคนอาจพบสิวได้ในพื้นที่เหล่านี้ด้วย

สิวฮอร์โมน อันตรายหรือไม่ ? เป็นสัญญาณบอกโรคไหม ?

สิวฮอร์โมน อันตรายหรือไม่ ? เป็นสัญญาณบอกโรคไหม ?

สิวฮอร์โมนเองไม่ถือว่าอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว แต่หากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่ดูแล อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นหรือแผลหลุมได้ ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นใจและรูปลักษณ์ภายนอกได้ และเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและไม่จำเป็นต้องเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงเสมอไป แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ เช่น

  1. ภาวะ PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) สัญญาณหนึ่งของ PCOS คือการมีสิวที่ไม่สามารถรักษาได้ง่าย และมีการเปลี่ยนแปลงในรอบเดือน หรือมีขนขึ้นที่ใบหน้าและบริเวณอื่นๆ
  2. การหยุดยาคุมกำเนิด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเมื่อหยุดใช้ยาคุมกำเนิดอาจทำให้เกิดสิวได้
  3. ความผิดปกติในฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเพศชาย (androgens) ที่สูงเกินไปอาจส่งผลให้เกิดสิว

สิวฮอร์โมน รักษายังไง ? มีวิธีไหนบ้าง ?

การรักษาสิวฮอร์โมนสามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุของสิวที่เกิดขึ้น ต่อไปนี้คือวิธีการรักษาที่มักใช้

การใช้ยาทาภายนอก (Topical Treatments)

การใช้ยาทาภายนอกเพื่อรักษาสิวฮอร์โมนเป็นวิธีที่ช่วยลดการอักเสบและการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งมักใช้ร่วมกับการรักษาวิธีอื่น ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ดีที่สุด เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), หรือ กรดเรตินอยด์ (Retinoids) ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและลดการอักเสบ ควรเริ่มจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำและค่อย ๆ เพิ่มขึ้น แดง หรือแห้งเกินไป ควรหยุดใช้ชั่วคราวและปรึกษาแพทย์

การใช้ยารับประทาน (Oral Treatments)

การใช้ยารับประทานเพื่อรักษาสิวฮอร์โมนเป็นวิธีที่ช่วยควบคุมปัจจัยภายในที่ทำให้เกิดสิว โดยเฉพาะฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นการเกิดสิว วิธีการรักษานี้มักใช้เมื่อสิวไม่ดีขึ้นจากการใช้ยาทาภายนอกหรือกรณีที่สิวรุนแรง เช่น ยาคุมบางชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนช่วยลดการผลิตน้ำมันในผิวหนัง ป้องกันการเกิดสิว

และยาต้านแอนโดรเจน ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาสิวที่เกิดจากฮอร์โมนเพศชาย โดยยานี้ช่วยลดระดับฮอร์โมนเพศชายที่มีผลกระทบต่อการเกิดสิว และสุดท้ายยาปฏิชีวนะ (Oral Antibiotics) สำหรับกรณีสิวที่มีการติดเชื้อและอักเสบมาก ยาปฏิชีวนะอาจช่วยลดการอักเสบและการติดเชื้อได้

การรักษาแบบเร่งด่วน ด้วยหัตถารทางการแพทย์

การรักษาสิวฮอร์โมนแบบเร่งด่วนด้วยหัตถการทางการแพทย์นั้นมักจะมุ่งเน้นที่การลดการอักเสบ ลดการผลิตน้ำมัน และลดการอุดตันของรูขุมขน เพื่อให้สิวหายเร็วขึ้นและไม่เกิดรอยแผลเป็น เช่น

  1. การฉายแสงเลเซอร์ฆ่าเชื้อสิว หรือที่เรียกว่า Blue Light Therapy หรือ LED Light Therapy เป็นการรักษาสิวที่ใช้แสงสีฟ้า (blue light) เพื่อฆ่าแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว โดยแสงนี้จะเข้าไปทำลายแบคทีเรียที่อยู่ในรูขุมขนและช่วยลดการอักเสบของผิว นอกจากนี้ยังสามารถช่วยปรับสมดุลการผลิตน้ำมันในผิว ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย
  2. เมโสหน้าใส มาเด้คอลลาเจน การฉีดเมโสหน้าใส (Meso-Glow) โดยใช้ มาเด้คอลลาเจน (Made Collagen) เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยฟื้นฟูผิวและรักษาสิวได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าการฉีดมาเด้คอลลาเจนจะไม่ได้มีการฆ่าเชื้อแบคทีเรียโดยตรงเหมือนการฉายแสงเลเซอร์ แต่มีผลดีในการฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากสิวและช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ซึ่งสามารถช่วยลดรอยแผลเป็นจากสิวได้
  3. ฉีดยาสิว (Acne Injection) เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถใช้รักษาสิว โดยเฉพาะในกรณีที่สิวมีลักษณะเป็น สิวอักเสบ หรือ สิวหัวช้าง ซึ่งเป็นสิวที่มีอาการบวมและเจ็บปวดมาก การฉีดยามักจะใช้เพื่อบรรเทาอาการอักเสบและช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น เมื่อทำอย่างถูกวิธีและได้รับการดูแลจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ มักจะไม่มีรอยแผลเป็นตามมาหลังการฉีดยา

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์สามารถช่วยลดการเกิดสิวฮอร์โมนและช่วยให้การรักษาสิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากการใช้ยาและการทำหัตถการทางการแพทย์แล้ว การปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมสิวให้ดีขึ้น เช่นควบคุมความเครียด เพราะความเครียดสามารถทำให้ฮอร์โมนแปรปรวนทำให้สิวขึ้น

การรับประทานอาหารที่เหมาะสม การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงหรือไขมันมากเกินไปอาจช่วยลดการเกิดสิว และการรักษาความสะอาดของผิว การล้างหน้าอย่างเหมาะสมและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน (non-comedogenic) สามารถช่วยป้องกันสิวได้

สิวฮอร์โมน ชายและหญิงแตกต่างกันไหม ?

สิวฮอร์โมน ชายและหญิงแตกต่างกันไหม ?

สิวฮอร์โมนในชายและหญิงมีความแตกต่างกันในหลายด้าน ทั้งในเรื่องของ สาเหตุ ลักษณะการเกิดสิว และการตอบสนองต่อการรักษา

  • สิวฮอร์โมนในเพศหญิง ซึ่งสิวในผู้หญิงมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงรอบเดือน การตั้งครรภ์ หรือการใช้ยาคุมกำเนิด ในช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือการตั้งครรภ์จะทำให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) สูงขึ้น ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิว สิวมักจะเกิดบริเวณ โซน T หน้าผาก จมูก คาง หรือ แก้ม สิวมักมีลักษณะเป็น สิวอักเสบหรือ สิวหนอง ที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน
  • สิวฮอร์โมนในเพศชาย ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ที่สูงในวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่ฮอร์โมนจะมีการเปลี่ยนแปลงมาก อาจทำให้เกิดการผลิตน้ำมันในผิวหนังมากขึ้น สิวมักจะเกิดบริเวณ หน้าอก หลัง และ ไหล่ มักจะมีลักษณะเป็น สิวอุดตัน หรือ สิวหัวแข็ง ที่มีอาการอักเสบสูงและอาจเจ็บปวด

สิวฮอร์โมนในชายและหญิงมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน เช่น สาเหตุหลักในการเกิดสิว ลักษณะการเกิดสิว และวิธีการรักษา โดยผู้หญิงมักมีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในรอบเดือนและการตั้งครรภ์ ขณะที่ผู้ชายมักมีระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่สูงขึ้นในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ซึ่งทำให้เกิดการผลิตน้ำมันในผิวมากขึ้น

วิธีป้องกันสิวฮอร์โมนไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ

การป้องกันสิวสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลผิวและไลฟ์สไตล์ เพื่อช่วยลดการเกิดสิวและควบคุมปัจจัยที่กระตุ้นสิวจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน วิธีการป้องกันสิวที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่

  1. ล้างหน้าบ่อย ๆ ด้วยการล้างหน้าสองครั้งต่อวันด้วยน้ำอุ่นและผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน จะช่วยลดน้ำมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกที่อาจทำให้สิวเกิดขึ้นได้
  2. ใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะสม เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่มีสารทำให้ผิวแห้งเกินไป หรือทำให้ผิวระคายเคือง
  3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าด้วยมือบ่อย ๆ อาจทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกจากมือไปกระตุ้นการเกิดสิว รวมถึง การบีบหรือกดสิว เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรืออักเสบ ทำให้สิวแย่ลง
  4. เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้เกิดสิว (Non-comedogenic) ไม่อุดตันรูขุมขน เช่น มอยส์เจอไรเซอร์, รองพื้น หรือครีมกันแดด ที่มีป้ายบ่งชี้ว่า “Non-comedogenic”
  5. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยลดการอักเสบ: เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์, กรดซาลิไซลิก, หรือกรดไฮยาลูโรนิก เพื่อช่วยควบคุมการอักเสบและลดสิว
  6. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูงอาจกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนและน้ำมันในผิวหนัง ซึ่งสามารถทำให้สิวเกิดขึ้นได้
  7. รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามิน A, C และ E ช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิวและลดการอักเสบ
  8. เพิ่มการทานอาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน เมล็ดเจีย และถั่ว ช่วยลดการอักเสบในร่างกายและผิวหนัง
  9. การออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายสามารถช่วยลดความเครียดและควบคุมการผลิตฮอร์โมนที่กระตุ้นการเกิดสิวได้
  10. ทำสมาธิหรือโยคะ เพราะสามารถช่วยลดความเครียดและส่งผลดีต่อการควบคุมฮอร์โมน
  11. การนอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับที่เพียงพอและมีคุณภาพจะช่วยฟื้นฟูระบบฮอร์โมนและสุขภาพผิว
  12. การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวจะช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น และป้องกันการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป
  13. การใช้มาสก์หน้าที่ช่วยดูดซับน้ำมันหรือมีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น ชาเขียว, ว่านหางจระเข้ หรือดินเหนียวจะช่วยควบคุมสิว
  14. หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมรุนแรง เช่น แอลกอฮอล์หรือสารเคมีที่ทำให้ผิวแห้งเกินไป การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนจะช่วยรักษาความสมดุลของผิว

ความแตกต่างระหว่างสิวฮอร์โมนกับสิวทั่วไป

สิวฮอร์โมนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงวัยรุ่น การตั้งครรภ์ หรือช่วงที่มีประจำเดือน ฮอร์โมนแอนโดรเจน ที่เพิ่มขึ้นจะกระตุ้นการผลิตน้ำมันในรูขุมขนมากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันและการสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว โดยสิวฮอร์โมนมักปรากฏในบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น บริเวณกรอบหน้า คาง หน้าผาก และข้างแก้ม

ในขณะที่สิวทั่วไปมักเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว น้ำมันส่วนเกิน หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน เช่น เครื่องสำอางหรือมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่เหมาะสม สิวทั่วไปสามารถเกิดได้ทุกที่ทั่วใบหน้า รวมถึงหลังและหน้าอก โดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเหมือนกับสิวฮอร์โมน การรักษาสิวทั่วไปมักใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ส่วนสิวฮอร์โมนอาจต้องใช้การรักษาที่ช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนในร่างกาย

สิวฮอร์โมนสามารถหายเองได้ไหม ?

บางครั้งสามารถหายเองได้ตามธรรมชาติเมื่อระดับฮอร์โมนในร่างกายกลับสู่สมดุล เช่น หลังจากที่ประจำเดือนหมดหรือการตั้งครรภ์สิ้นสุดลง แต่บางคนอาจพบว่าการเกิดสิวฮอร์โมนกลับมาเป็นซ้ำในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ดังนั้นถึงแม้สิวอาจหายไปเองในบางกรณี การรักษาเฉพาะจุดหรือการใช้ยาควบคุมฮอร์โมนสามารถช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นและลดโอกาสในการเกิดซ้ำได้ สำหรับบางคนที่มีอาการรุนแรงหรือเป็นเรื้อรัง อาจจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

ฟื้นฟูผิวให้เนียนใส ห่างไกลสิวได้ที่ ลีเอนจาง คลินิก

ฟื้นฟูผิวให้เนียนใส ห่างไกลสิวได้ที่ ลีเอนจาง คลินิก

ที่ ลีเอนจาง คลินิก สามารถฟื้นฟูผิวให้เนียนใสและห่างไกลจากสิวได้ด้วยบริการที่หลากหลาย ซึ่งมีทั้งการรักษาแบบเฉพาะจุดและการดูแลรักษาผิวอย่างครบวงจร โดยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณ เช่น

  • โปรแกรม K-Star Dewy : จะเป็นการใช้มาเด้คอลลาเจน ซึ่งมาเด้และคอลลาเจนคือสารสกัดจากธรรมชาติที่มีคุณประโยชน์ช่วยให้ผิวของคุณดูใสและกระจ่างขึ้น พร้อมเพิ่มความแข็บงแรงให้กับผิว ลดสาเหตุการเกิดสิว และรอยจากสิว
  • โปรแกรม Rejuran : ช่วยฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากสิวหรือรอยแผลเป็น ด้วยการใช้พอลีนิวคลีโอไทด์ (PN) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและช่วยให้ผิวแข็งแรงและเนียนใสขึ้น
  • โปรแกรม Chanels Series 2 : ที่มีส่วนผสมของกรดอะมิโน กลูตาไธโอน และเปปไทด์ 14 ชนิดที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้ผิว ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว ต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว หน้าฉ่ำวาวขั้นสุด ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดเลือนจุดด่างดำ

การเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ ลีเอนจาง คลินิก จะช่วยให้คุณได้รับการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาผิวของคุณ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หากท่านใดสนใจอยากฟื้นฟูผิว รักษาปัญหาสิวที่ ลีเอนจาง คลินิก สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account : @Lienjangthailand

อ่านบทความที่น่าสนเพิ่มเกี่ยวกับ : อยากผิวสวยแบบ ‘ผิวเหม่ยตู’ ต้อง Skin Booster ที่ลีเอนจาง

สรุป

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงประสบปัญหาสิวฮอร์โมนกันเยอะ ที่ไม่ว่าจะช่วงอายุไหนก็สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะเป็นสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้มีการผลิตน้ำมันในผิวมากขึ้นจนเกิดการอุดตันและเกิดสิว มักจะพบได้ที่บริเวณกรอบหน้า คาง และข้างแก้ม และมักจะเป็นสิวที่มีการอักเสบหรือเป็นหัวหนอง การรักษาอาจจะใช้ยาควบคุมฮอร์โมนหรือรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ แต่บางครั้งก็อาจต้องใช้การรักษาเฉพาะทางเพื่อช่วยควบคุมและลดการเกิดสิวในอนาคต

สอบถามปรึกษาแพทย์ฟรี

สอบถามปรึกษาแพทย์ฟรี