บทความ

Article

หน้าเป็นฝ้า ทำอย่างไรดี ? สามารถหายเองได้ไหม ?
Facebook
X
Email

หน้าเป็นฝ้า ทำอย่างไรดี ? สามารถหายเองได้ไหม ?

หัวข้อที่น่าสนใจ

หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาหน้าเป็นฝ้าและสงสัยว่าควรทำอย่างไรดี ? บทความนี้จะช่วยไขคำตอบ! ฝ้าเป็นปัญหาผิวที่พบได้บ่อย บางคนอาจไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นการรักษาจากตรงไหน หรือมีวิธีป้องกันอย่างไรให้ฝ้าไม่กลับมาอีก เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลและรักษาฝ้าอย่างเหมาะสม ที่สามารถช่วยลดฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณกลับมามีผิวหน้ากระจ่างใสไร้ฝ้าอีกครั้ง

ปัญหาหน้าเป็นฝ้า คืออะไร ?

ปัญหาหน้าเป็นฝ้า คืออะไร ?

ปัญหาหน้าเป็นฝ้า คือ ปัญหาผิวที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดจุดด่างดำหรือสีผิวที่คล้ำขึ้นในบริเวณใบหน้า โดยทั่วไปจะเกิดในส่วนที่โดนแสงแดดมากที่สุด เม็ดสีเมลานินจะผลิตมากเกินไปเนื่องจากการกระตุ้นจากแสงแดด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน  หรือปัจจัยทางพันธุกรรม ฝ้ามักจะมีลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลหรือดำขนาดเล็กหรือใหญ่กระจายอยู่บนผิวหน้า และอาจทำให้ผิวดูไม่สม่ำเสมอ 

หน้าเป็นฝ้า เกิดจากอะไร ?

ปัญหาหน้าเป็นฝ้าเกิดได้จากหลายปัจจัยหลัก ได้แก่

  1. แสงแดด (รังสี UV) : กระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ทำให้เกิดรอยคล้ำ
  2. ฮอร์โมน : การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ระหว่างตั้งครรภ์ การใช้ยาคุมกำเนิด หรือการรับฮอร์โมนทดแทน อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้า
  3. พันธุกรรม : หากมีประวัติครอบครัวเป็นฝ้า ก็มีโอกาสเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น
  4. การใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์บางชนิด : สารเคมีบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดฝ้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวไวต่อแสง
  5. ความร้อนและมลภาวะ : ความร้อนจากแดด การทำอาหาร หรืออุณหภูมิสูง อาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น
  6. อายุที่เพิ่มขึ้น : ทำให้กลไกการผลัดเซลล์ผิวทำงานช้าลง ส่งผลให้เม็ดสีสะสมมากขึ้น

ประเภทของฝ้า ที่มักเกิดขึ้นบนผิวหน้า

ประเภทของฝ้า ที่มักเกิดขึ้นบนผิวหน้า

ฝ้าที่มักเกิดขึ้นบนผิวหน้า สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. ฝ้าตื้น : เป็นฝ้าที่เกิดขึ้นใน ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ซึ่งเป็นชั้นผิวหนังด้านบนสุด มีลักษณะเป็นรอยคล้ำ สีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ขอบค่อนข้างชัด และมักพบในบริเวณที่โดนแสงแดดบ่อย เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และเหนือริมฝีปาก
  2. ฝ้าลึก : อยู่ในชั้นหนังแท้ (Dermis) มีสีออกน้ำตาลเทาหรืออมม่วง ขอบไม่ชัดเจน รักษายากกว่าฝ้าตื้น เพราะเม็ดสีอยู่ลึก อาจต้องใช้การรักษา
  3. ฝ้าแดด : หน้าเป็นฝ้าแดดเกิดจากการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะรังสี UVB และ UVA ซึ่งกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ผลิตเมลานินมากเกินไป ส่งผลให้เกิดรอยคล้ำเป็นแผ่นหรือจุดบนใบหน้า มักพบบริเวณ โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก และเหนือริมฝีปาก

อาการเริ่มต้นของฝ้าเป็นอย่างไร ?

อาการเริ่มต้นของฝ้า (Melasma) ลักษณะของฝ้าในระยะเริ่มต้นผิวเริ่มมี รอยคล้ำจาง ๆ หรือ จุดสีน้ำตาลอ่อน สีผิวดูไม่สม่ำเสมอ และเริ่มมีเงาคล้ำบางจุด มักเกิดบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก เหนือริมฝีปาก และจมูก ไม่ค่อยมีอาการคัน แสบ หรืออักเสบ (ต่างจากรอยดำจากสิว) แต่ถ้าปล่อยไว้อาจพัฒนาเป็นฝ้าชัดขึ้น  หากไม่ได้รับการดูแลฝ้าอาจเข้มขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น และฝังลึกลงในชั้นผิว ทำให้รักษายากขึ้น

ปัญหาหน้าเป็นฝ้า ส่งผลกระทบอย่างไร ?

หน้าเป็นฝ้า เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ทำให้เกิดจุดหรือรอยคล้ำที่มีลักษณะไม่สม่ำเสมอบนผิวหน้า ซึ่งอาจมีผลกระทบต่าง ๆ ดังนี้

  1. ผลกระทบทางด้านความมั่นใจและจิตใจ : ฝ้าอาจทำให้รู้สึก ไม่มั่นใจ และ ไม่พอใจ กับรูปลักษณ์ของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อฝ้าปรากฏชัดเจนและลึกลงไปในชั้นผิว อาจส่งผลให้เกิด ความวิตกกังวล และ ความเครียด เกี่ยวกับการรักษาผิวหน้าให้กลับมาสวยใสเหมือนเดิม
  2. ผลกระทบด้านความสวยงาม : ฝ้าทำให้ผิวหน้าดู หมองคล้ำ และ ไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากจุดหรือรอยคล้ำที่เกิดขึ้นจะทำให้สีผิวไม่เรียบเนียน บางครั้งฝ้าสามารถขยายใหญ่ขึ้น หรือ เข้มขึ้น 
  3. ผลกระทบด้านการใช้ชีวิต : การมีฝ้าอาจทำให้ต้อง หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือใช้ครีมกันแดด เป็นประจำ ซึ่งอาจรู้สึกเป็นภาระเพิ่มเติม บางคนอาจรู้สึกต้องใช้เครื่องสำอางมากขึ้น เพื่อปกปิดจุดด่างดำ ทำให้การแต่งหน้าต้องใช้เวลามากขึ้น
  4. การรักษาฝ้าอาจยากและใช้เวลา : ฝ้าที่เกิดขึ้นมานานอาจ รักษายาก และต้องใช้เวลา รวมถึงการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง การรักษาฝ้าไม่ให้กลับมา เป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวัง เพราะการโดนแดดอีกครั้งหรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้ฝ้ากลับมาใหม่
  5. ผลกระทบต่อสุขภาพผิวในระยะยาว : หากปล่อยให้ฝ้าไม่ได้รับการดูแลในระยะยาว อาจทำให้เกิด การเสื่อมสภาพของผิว และ รอยแผลเป็น ที่อาจยากต่อการรักษา ฝ้าอาจเป็นสัญญาณของการสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลต่อการเกิดริ้วรอยและผิวแก่ก่อนวัย

พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้หน้าเป็นฝ้า

พฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้หน้าเป็นฝ้า

พฤติกรรมบางอย่างอาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้าหรือทำให้ฝ้ารุนแรงขึ้นได้ ต่อไปนี่คือพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้หน้าเป็นฝ้า

  1. การโดนแสงแดดโดยไม่มีการป้องกัน การอยู่ในแสงแดดนาน ๆ โดยไม่ทาครีมกันแดด หรือทาครีมกันแดดไม่เพียงพอ (SPF ต่ำ) สามารถกระตุ้นการผลิตเม็ดสี เมลานิน ทำให้เกิดฝ้าได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงเวลาแดดแรง (10:00 – 16:00) การออกไปข้างนอกโดยไม่มีการป้องกันสามารถทำให้ฝ้าเกิดขึ้นหรือรุนแรงขึ้น
  2. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่กระตุ้นการเกิดฝ้า การใช้สกินแคร์หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมบางประเภทที่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด เช่น เรตินอล หรือ กรดผลไม้ อาจทำให้ผิวบอบบางและเสี่ยงต่อการเกิดฝ้า หากไม่ได้ใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพร่วมด้วย การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจทำให้ผิวไวต่อแสงและเกิดฝ้าได้ง่าย
  3. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การใช้ยาคุมกำเนิด หรือการตั้งครรภ์ ซึ่งทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงอาจกระตุ้นให้เกิดฝ้า โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมน ฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) มีผลต่อการผลิตเม็ดสีในผิวหนัง ส่งผลให้ฝ้าขึ้นได้ง่ายกว่า
  4. การใช้เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือเสี่ยงต่อการเกิดฝ้า การใช้เครื่องสำอางหรือครีมที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารที่ทำให้ผิวระคายเคืองสามารถทำให้ผิวเกิดการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดฝ้า หากไม่ได้เลือกใช้เครื่องสำอางที่เหมาะสมกับผิว ก็อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองหรือมีการสะสมของเม็ดสี
  5. การมีผิวที่บอบบางหรือผิวคล้ำ คนที่มีผิวคล้ำหรือผิวบอบบางอาจมีโอกาสเกิดฝ้าได้ง่าย เนื่องจากเม็ดสีในผิวจะไวต่อการกระตุ้นจากแสงแดด การไม่ดูแลผิวอย่างเหมาะสม หรือการไม่ป้องกันผิวจากแสงแดดอาจทำให้ฝ้าเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น
  6. การทานยาบางประเภท ยาบางชนิด เช่น ยาฆ่าเชื้อ หรือ ยาต้านการอักเสบ อาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดด และทำให้เกิดฝ้าได้ง่าย การทานยาที่มีผลต่อฮอร์โมนหรือทำให้ผิวไวต่อแสง เช่น ยาฮอร์โมน ยารักษาสิวบางประเภท อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดฝ้า
  7. การใช้ความเครียดหรือการนอนน้อย ความเครียดและการนอนหลับไม่เพียงพอสามารถส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจกระตุ้นให้ฝ้าเกิดขึ้นหรือทำให้ฝ้ารุนแรงขึ้น
  8. การไม่รักษาผิวอย่างต่อเนื่อง การไม่ใช้ครีมกันแดดทุกวันหรือการไม่ดูแลผิวให้ชุ่มชื้นก็ทำให้ผิวไวต่อการเกิดฝ้าได้ง่าย หากไม่รักษาผิวให้แข็งแรงและไม่ปกป้องผิวจากปัจจัยที่ทำให้เกิดฝ้า เช่น แสงแดด ฝุ่น ควัน ก็จะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฝ้า

ฝ้ามักเกิดบริเวณใดบนใบหน้า

ฝ้ามักจะเกิดบริเวณที่ผิวหน้าถูกแดดหรือแสงแดดสัมผัสมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณที่มีการสะสมของเม็ดสีเมลานินมากขึ้น นี่คือบริเวณที่ฝ้ามักเกิดขึ้นบ่อยที่สุด

  • โหนกแก้ม : เป็นจุดที่ฝ้ามักเกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากเป็นบริเวณที่รับแสงแดดโดยตรงและมีการสะสมของเม็ดสีได้ง่าย มักเห็นเป็น จุดสีน้ำตาล หรือ รอยคล้ำ ที่ไม่สม่ำเสมอ
  • หน้าผาก : ฝ้ามักเกิดที่บริเวณ กลางหน้าผาก หรือ รอบขมับ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีการสัมผัสกับแสงแดดบ่อย ฝ้าในบริเวณนี้มักมีขนาดใหญ่และอาจขยายไปที่ขมับ
  • เหนือริมฝีปาก : บริเวณนี้มักเป็นที่เกิดฝ้าโดยเฉพาะในผู้หญิงที่ใช้ ยาคุมกำเนิด หรือในช่วง ตั้งครรภ์ ฝ้าที่บริเวณนี้มักมีลักษณะเป็น จุดคล้ำ หรือ วงกลมคล้ำ รอบปาก
  • จมูก : บางคนอาจมีฝ้าเกิดที่บริเวณ สะพานจมูก หรือ รอบจมูก ซึ่งเป็นจุดที่โดนแสงแดดได้ง่ายเช่นกัน
  • คาง : ฝ้าที่เกิดบริเวณนี้มักมีลักษณะเป็น จุดสีน้ำตาล หรือ รอยคล้ำ ที่ทำให้ผิวหน้าไม่สม่ำเสมอ
  • ใต้ตา : บางครั้งฝ้าอาจเกิดใต้ตา โดยเฉพาะในคนที่มีผิวบอบบางและไวต่อแสงแดด

หน้าเป็นฝ้า รักษาอย่างไรให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น

หน้าเป็นฝ้า รักษาอย่างไรให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น

การรักษาหน้าเป็นฝ้าและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นนั้นต้องใช้ความระมัดระวังและการดูแลที่เหมาะสม เพราะฝ้าเกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ซึ่งสามารถรักษาและปรับปรุงได้ด้วยหลายวิธี ต่อไปนี้เป็นวิธีการรักษาฝ้าและช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น

การทาครีมหรือยารักษาฝ้า

การทาครีมหรือยารักษาฝ้าเป็นวิธีที่ช่วยลดความเข้มของฝ้าและป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาใหม่ โดยมียาหรือครีมบางชนิดที่มีประสิทธิภาพในการลดเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ซึ่งมีหลายประเภทที่ใช้สำหรับการรักษาฝ้า โดยมีทั้งที่สามารถหาซื้อได้เองและต้องได้รับใบสั่งจากแพทย์ เช่น Hydroquinone, Tretinoin, Niacinamide, Vitamin C และ Arbutin สามารถช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสี ลดจุดด่างดำ และปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้น

สมุนไพรแบบธรรมชาติ

การรักษาฝ้าด้วยสมุนไพรธรรมชาติเป็นทางเลือกที่นิยมใช้ เพื่อช่วยลดความเข้มของฝ้าและปรับสีผิวให้กระจ่างใส สมุนไพรหลายชนิดมีคุณสมบัติในการลดการสร้างเม็ดสีเมลานินในผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า เช่น ว่านหางจระเข้ที่ช่วยลดการอักเสบและให้ความชุ่มชื้น ขมิ้นที่มีสาร Curcumin ช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดการผลิตเม็ดสี หรือแตงกวาที่มีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นและลดการระคายเคืองจากแสงแดด ทั้งหมดนี้สามารถใช้เป็นมาส์กหน้าหรือทาผิวโดยตรงเพื่อช่วยลดฝ้าและปรับสภาพผิวให้สว่างขึ้น

การใช้สมุนไพรธรรมชาติในการรักษาฝ้าควรทำอย่างสม่ำเสมอและระมัดระวังการใช้ในช่วงกลางวัน โดยเฉพาะในกรณีที่มีการใช้มะนาวหรือสมุนไพรที่มีกรดเพราะอาจทำให้ผิวไวต่อแสง การรักษาฝ้าด้วยสมุนไพรไม่ใช่การรักษาที่เห็นผลในทันที แต่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้เมื่อใช้ต่อเนื่องและควบคู่กับการป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ควรทดสอบการแพ้ก่อนใช้สมุนไพรบนใบหน้าเพื่อป้องกันการเกิดอาการระคายเคืองหรือแพ้จากสารที่มีอยู่ในสมุนไพรต่าง ๆ

เลเซอร์รักษาฝ้า

การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดความเข้มของฝ้าโดยการทำลายเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ในชั้นผิว เลเซอร์ที่ใช้ในการรักษาฝ้าสามารถทำลายจุดด่างดำและฝ้าที่เกิดขึ้นในชั้นผิวได้อย่างตรงจุด ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่และทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนขึ้น โดยเลเซอร์จะทำงานโดยการยิงแสงพลังงานสูงไปยังจุดที่มีเม็ดสี 

ซึ่งจะช่วยให้เม็ดสีเหล่านั้นสลายและถูกกำจัดออกจากผิว การรักษาด้วยเลเซอร์ไม่ต้องใช้เวลานานและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่การทำเลเซอร์ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงและควรดูแลผิวหลังการทำเลเซอร์อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการเกิดฝ้ากลับมาใหม่

ฉีดเมโสลดฝ้า

การฉีดเมโสลดฝ้า หรือ เมโสหน้าใส เป็นการรักษาฝ้าที่ใช้เทคนิคการฉีดสารบำรุงเข้าสู่ชั้นผิว เพื่อช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานินและปรับสีผิวให้กระจ่างใส โดยการใช้สารต่าง ๆ เช่น วิตามิน C, Glutathione, และ Tranexamic acid ที่ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสีที่ทำให้เกิดฝ้า การฉีดเมโสจะช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูสดใส ลดฝ้าและจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

โดยการฉีดสารเข้าไปในชั้นผิวจะช่วยให้สารบำรุงทำงานได้อย่างลึกซึ้งและเร็วขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จะค่อย ๆ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและลดฝ้าในระยะยาว การรักษาด้วยการฉีดเมโสไม่ต้องใช้เวลานานและสามารถทำได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่ควรทำภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง

วิธีป้องกันปัญหาหน้าเป็นฝ้า

การป้องกันปัญหาหน้าเป็นฝ้ามีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้าและรักษาผิวให้สุขภาพดี ได้แก่

  1. ทาครีมกันแดด : ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปและมีคุณสมบัติทั้ง UVA และ UVB เพื่อป้องกันรังสีที่ทำให้ผิวคล้ำและเกิดฝ้า ควรทาก่อนออกจากบ้านทุกครั้งและทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง หลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วงเวลา 10.00 – 16.00 น. เพราะเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดมีความเข้มข้นสูงสุด
  2. สวมอุปกรณ์ป้องกันแสงแดด : ใส่หมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด และเสื้อผ้าป้องกันแสงแดดเพื่อปกป้องใบหน้าและร่างกายจากรังสี UV โดยตรง
  3. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิว : เลือกใช้สกินแคร์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยปรับสีผิว เช่น วิตามิน C, Niacinamide, และ Arbutin ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดฝ้า
  4. หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีรุนแรง : ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวระคายเคืองหรือไวต่อแสง
  5. บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น : ผิวที่มีความชุ่มชื้นจะสามารถฟื้นฟูได้ดีขึ้นและลดการระคายเคืองจากแสงแดดหรือสารต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดฝ้า

หน้าเป็นฝ้าสามารถหายเองได้ไหม ?

หน้าเป็นฝ้าสามารถหายเองได้ไหม ?

ฝ้าไม่สามารถหายเองได้โดยธรรมชาติในกรณีส่วนใหญ่ เนื่องจากฝ้าเกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ซึ่งเป็นผลมาจากการกระตุ้นของแสงแดดหรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เมื่อมีการสะสมของเม็ดสีมากขึ้นบนผิวหน้า ฝ้าจะยังคงอยู่จนกว่าจะมีการรักษาหรือการป้องกันที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม หากฝ้าเกิดขึ้นในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในระหว่างตั้งครรภ์ อาจจะหายไปเองหลังจากคลอดบุตรและฮอร์โมนกลับสู่ปกติ แต่ในกรณีที่เกิดจากแสงแดดหรือปัจจัยอื่น ๆ ฝ้าจะไม่หายเองหากไม่ได้รับการดูแลและรักษาอย่างถูกวิธี

รักษาฝ้าที่ ลีเอนจาง คลินิก ดีอย่างไร ? มีโปรแกรมออะไรบ้าง ?

การรักษาหน้าเป็นฝ้าที่ ลีเอนจาง คลินิก เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม เนื่องจากการใช้เทคโนโลยีและโปรแกรมการรักษาที่ทันสมัย โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถประเมินสภาพผิวและเลือกโปรแกรมการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล การรักษาฝ้าจะเน้นการทำให้ผิวหน้าเรียบเนียน กระจ่างใส เพื่อช่วยลดจุดด่างดำจากฝ้าและทำให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสขึ้น โดยไม่ทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคือง

โปรแกรมที่ลีเอนจาง คลินิกมีในการรักษาฝ้าประกอบไปด้วย โปรแกรม Laser Toning เป็นการทำเลเซอร์ ที่ช่วยลดเม็ดสีที่ทำให้เกิดฝ้า กระ และรอยหมองคล้ำ และโปรแกรม Melasma Care เป็นการฉีดเมโส ที่ใช้สารบำรุงลดการสร้างเม็ดสี ที่ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและกระจ่างใส การรักษาฝ้าที่ลีเอนจาง คลินิกจะช่วยให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานและมีความปลอดภัย หากคุณสนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account : @Lienjangthailand 

สรุป

ปัญหาหน้าเป็นฝ้า เป็นปัญหาผิวที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินในชั้นผิว ซึ่งมักเกิดจากการโดนแสงแดดเป็นเวลานานหรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงตั้งครรภ์หรือการใช้ยาคุมกำเนิด จุดด่างดำที่เกิดขึ้นมักปรากฏที่บริเวณแก้ม หน้าผาก และคาง ฝ้าสามารถป้องกันได้โดยการทาครีมกันแดดและหลีกเลี่ยงการตากแดดในช่วงที่แสงแรง 

นอกจากนี้ยังสามารถรักษาฝ้าด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การใช้ครีมบำรุงที่ช่วยลดเม็ดสี การทำทรีทเมนต์เลเซอร์ หรือการฉีดเมโส ซึ่งจะช่วยลดฝ้าและปรับผิวให้กระจ่างใสขึ้น หากรักษาอย่างถูกวิธีและป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ ฝ้าจะสามารถดูแลและลดลงได้

สอบถามปรึกษาแพทย์ฟรี

สอบถามปรึกษาแพทย์ฟรี