บทความ

Article

ขอบตาดำ เหมือนหมีแพนด้า ปัญหากวนใจที่แก้ไขได้
Facebook
X
Email

ขอบตาดำ เหมือนหมีแพนด้า ปัญหากวนใจที่แก้ไขได้

หัวข้อที่น่าสนใจ

ขอบตาดำเหมือนหมีแพนด้าคือปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญและทำให้เสียความมั่นใจ ไม่ว่าจะเกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอ การขยี้ตาบ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งการแพ้สารต่าง ๆ ขอบตาดำสามารถทำให้ใบหน้าดูโทรมและไม่สดใสได้ แต่ปัญหานี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทนอยู่กับมันไปตลอด เพราะมีวิธีการรักษาที่หลากหลายที่จะช่วยให้คุณกลับมามีขอบตาที่สดใสและดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง

หากคุณกำลังมองหาวิธีแก้ไขปัญหาขอบตาคล้ำอย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุและวิธีการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลด้วยวิธีธรรมชาติหรือการรักษาแบบทางการแพทย์ ที่สามารถให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน อย่ารอช้า มาอ่านดูกันเลยว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้คุณมีขอบตาที่สดใสและมั่นใจได้อีกครั้ง!

ขอบตาดำ คืออะไร ? อันตรายไหม ?

ขอบตาดำ คืออะไร ? อันตรายไหม ?

ขอบตาดำ หมายถึง ภาวะที่ผิวหนังรอบดวงตามีสีคล้ำกว่าส่วนอื่น ๆ ของใบหน้า อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งทำให้ผิวบางรอบดวงตาแสดงความคล้ำได้ชัดเจนขึ้น และขอบตาดำทำให้ใบหน้าดูโทรมและอ่อนล้า ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของหลาย ๆ คน โดยปกติแล้ว ขอบตาคล้ำ ไม่อันตราย แต่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงสุขภาพหรือไลฟ์สไตล์ที่อาจต้องปรับเปลี่ยน เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ หรือการจัดการความเครียด หากเกิดร่วมกับอาการผิดปกติ เช่น ตาบวม การมองเห็นเปลี่ยนแปลง หรือปวดบริเวณดวงตา ควรปรึกษาแพทย์

ขอบตาดํา เกิดจากอะไร

ขอบตาดำสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก เช่น

  1. พันธุกรรม บางคนมีแนวโน้มที่จะมีขอบตาคล้ำตามพันธุกรรม โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีผิวคล้ำหรือมีเส้นเลือดใต้ตาชัด
  2. การพักผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือการนอนดึกเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ขอบตาคล้ำ เนื่องจากผิวใต้ตาจะดูซีดลงและเส้นเลือดจะเห็นชัดขึ้น
  3. ความเครียดและความเหนื่อยล้า เมื่อร่างกายและจิตใจเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิตใต้ตา ทำให้ขอบตาคล้ำได้
  4. ภูมิแพ้ ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้มักจะมีขอบตาคล้ำเนื่องจากการอักเสบและการขยายตัวของเส้นเลือดใต้ตา
  5. การถูหรือขยี้ตาบ่อย ๆ การถูหรือขยี้ตาจะทำให้ผิวใต้ตาบางลงและเส้นเลือดใต้ตาเห็นชัดขึ้น ส่งผลให้ขอบตาคล้ำได้
  6. อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น ผิวใต้ตาจะบางลงและสูญเสียคอลลาเจน ทำให้เห็นเส้นเลือดใต้ตาชัดขึ้น และเกิดรอยคล้ำ
  7. การขาดน้ำ เมื่อร่างกายขาดน้ำ ผิวจะดูหมองคล้ำ และทำให้ขอบตาดำชัดขึ้น
  8. แสงแดด การสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไปจะกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ใต้ตาดำคล้ำ
  9. การดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ พฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น และการไหลเวียนโลหิตแย่ลง ส่งผลให้ใต้ตาคล้ำ
  10. โรคหรือภาวะทางสุขภาพ บางโรค เช่น โรคตับ ไทรอยด์ และโรคโลหิตจาง อาจทำให้เกิดขอบตาคล้ำได้

อาการขอบตาดำ เป็นอย่างไร ?

อาการขอบตาดำ เป็นอย่างไร ?

อาการขอบตาดำ (Dark Circles) คือ ภาวะที่บริเวณใต้ตาหรือรอบดวงตามีสีคล้ำกว่าสีผิวปกติ ซึ่งอาจแสดงอาการดังนี้

  • สีคล้ำใต้ตา มักมีสีคล้ำเป็นสีน้ำตาลเข้ม สีม่วง หรือสีฟ้า ขึ้นอยู่กับสาเหตุและสภาพผิวของแต่ละคน
  • ผิวบางและเห็นเส้นเลือดใต้ตา หากผิวใต้ตาบาง เส้นเลือดใต้ผิวจะมองเห็นชัดขึ้น ทำให้ดูคล้ำมากขึ้น
  • มีรอยย่นหรือผิวหย่อนคล้อย ขอบตาคล้ำอาจมาพร้อมกับผิวที่หย่อนคล้อยหรือมีริ้วรอยใต้ตา ซึ่งทำให้ดูหมองคล้ำและเหนื่อยล้า
  • อาการบวมใต้ตา บางคนอาจมีถุงใต้ตาหรืออาการบวมร่วมด้วย ซึ่งทำให้ขอบตาดูคล้ำชัดเจนยิ่งขึ้น
  • ลักษณะเหมือนรอยเงา ในบางกรณี เงาที่เกิดจากโครงสร้างกระดูกหรือถุงใต้ตาจะทำให้ดูเหมือนมีรอยคล้ำ
  • ความคล้ำที่ลึกหรือกระจาย บางคนมีความคล้ำเฉพาะจุด แต่บางคนอาจคล้ำกระจายทั่วบริเวณรอบดวงตา

ใครบ้างที่มีโอกาสขอบตาดำคล้ำมากกว่าปกติ

คนที่มีแนวโน้มที่จะมี ขอบตาคล้ำ มากกว่าคนทั่วไป มักเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสุขภาพ โดยกลุ่มคนที่เสี่ยงมากกว่า ได้แก่

  • ผู้ที่มีพันธุกรรมหรือกรรมพันธุ์ ถ้าครอบครัวมีประวัติขอบตาคล้ำ โอกาสที่คนในครอบครัวนั้นจะมีขอบตาคล้ำก็สูงขึ้น พบมากในคนที่มีผิวคล้ำหรือผิวบาง
  • ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ คนที่นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ (Insomnia) การพักผ่อนไม่พอทำให้ผิวซีด และเส้นเลือดใต้ตาเด่นชัดขึ้น
  • ผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง การแพ้ทำให้เส้นเลือดใต้ตาขยายตัวและเกิดการคั่งของเลือด ส่งผลให้ขอบตาคล้ำ
  • ผู้สูงอายุ เมื่ออายุมากขึ้น ผิวใต้ตาจะบางลง สูญเสียคอลลาเจนและไขมัน ทำให้เส้นเลือดเห็นชัดขึ้น
    คนที่มีผิวคล้ำ คนที่มีผิวคล้ำมีเม็ดสีเมลานินใต้ตาเยอะกว่าคนผิวขาว จึงมีแนวโน้มขอบตาดำมากกว่า
  • ผู้ที่มีภาวะเครียดหรือวิตกกังวล ความเครียดและความเหนื่อยล้าเรื้อรัง ส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตแย่ลง ทำให้ขอบตาคล้ำง่าย
  • ผู้ที่ใช้สายตาหนัก คนที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือใช้มือถือเป็นเวลานาน การใช้สายตาหนักจะทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาล้า และเส้นเลือดขยายตัว
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง โรคโลหิตจาง (Anemia) ทำให้ผิวซีด เห็นเส้นเลือดใต้ตาชัดขึ้น โรคเกี่ยวกับตับ และต่อมไทรอยด์ โรคภูมิคุ้มกันผิดปกติบางชนิด
  • ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์บ่อย การสูบบุหรี่ทำให้ผิวขาดออกซิเจน และการไหลเวียนโลหิตแย่ลง แอลกอฮอล์ทำให้ผิวขาดน้ำและดูหมองคล้ำ
  • ผู้ที่โดนแสงแดดบ่อย แสงแดดกระตุ้นการสร้างเมลานิน ทำให้ผิวใต้ตาคล้ำง่ายขึ้น

ขอบตาดํา แก้ยังไงให้หายไวที่สุด

ขอบตาดํา แก้ยังไงให้หายไวที่สุด

แก้ขอบตาดํา เร่งด่วน การรักษาขอบตาดำทางการแพทย์มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของปัญหา โดยแพทย์อาจแนะนำวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกัน ดังนี้

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นวิธีที่นิยมใช้เพื่อแก้ปัญหาขอบตาโดยฟิลเลอร์จะช่วยเติมเต็มพื้นที่ที่มีร่องลึก หรือเติมไขมันใต้ตาที่หายไป ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของขอบตาคล้ำที่เกิดจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อใต้ตา การฉีดฟิลเลอร์ช่วยฟื้นฟูความสดใสและเรียบเนียนให้กับผิวใต้ตาได้

จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ภายในทันทีหลังการฉีด ผลลัพธ์มักจะอยู่ได้ประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ที่ใช้ ควรเลือกคลินิกที่เชี่ยวชาญและมีแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เนื่องจากบริเวณใต้ตามีความบอบบาง ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์ใต้จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการแก้ไขปัญหาขอบตาดำและเติมเต็มความสดใสให้กับดวงตา

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : ฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีดสกินบูสเตอร์

การฉีดสกินบูสเตอร์ (Skinbooster) เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาขอบตาดำได้ โดยการฉีดสกินบูสเตอร์จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวใต้ตา และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งจะช่วยให้ผิวดูอิ่มน้ำ กระจ่างใส และลดความหมองคล้ำในบริเวณขอบตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สกินบูสเตอร์คือการฉีดสารเติมเต็มที่ประกอบด้วย กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยให้ผิวบริเวณใต้ตาดูสดใสขึ้น ลดรอยคล้ำและร่องลึกที่อาจเกิดจากการเสื่อมสภาพของผิว

การฉีดสกินบูสเตอร์นั้นไม่เจ็บปวดมากและสามารถเห็นผลลัพธ์ที่ดีได้ภายในเวลาไม่นาน โดยสามารถทำได้ในคลินิกเสริมความงามที่มีความเชี่ยวชาญ การใช้สกินบูสเตอร์เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาขอบตาคล้ำที่เกิดจากผิวแห้งหรือขาดความชุ่มชื้น ซึ่งทำให้ผิวใต้ตามีสีคล้ำขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว คุณจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนและขอบตาดูสดใสขึ้น

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ : Skinbooster

วิธีแก้ขอบตาดํา แบบธรรมชาติ ด้วยตนเอง

การแก้ขอบตาดำแบบธรรมชาติ สามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ ที่บ้าน ดังนี้

  • ประคบเย็น ใช้ช้อนแช่เย็น หรือถุงชาแช่เย็น วางบนเปลือกตาประมาณ 10-15 นาที ลดการบวม และช่วยกระชับเส้นเลือดใต้ตา
  • แตงกวาฝานบาง วางแตงกวาฝานบางบนเปลือกตา ทิ้งไว้ 10-15 นาที เติมความชุ่มชื้น และช่วยลดความหมองคล้ำ
  • น้ำมันอัลมอนด์หรือน้ำมันมะพร้าว ทาน้ำมันเบาๆ บริเวณใต้ตาก่อนนอน บำรุงผิว ลดความแห้งกร้าน และลดรอยคล้ำ
  • ถุงชาคาเฟอีน ใช้ถุงชาเขียวหรือชาดำชุบน้ำเย็น วางบนเปลือกตา 10-15 นาที คาเฟอีนช่วยลดอาการบวม และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
  • มาส์กนมสดหรือโยเกิร์ต ชุบนมสดเย็น หรือโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ทาใต้ตา 10 นาที แล้วล้างออก บำรุงผิวใต้ตา และช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น
  • ทาครีมบำรุงรอบดวงตาจากธรรมชาติ ว่านหางจระเข้ วิตามิน E หรือเจลว่านหางจระเข้ ช่วยลดรอยดำ และให้ความชุ่มชื้น

ปัญหาขอบตาดํา หายได้ไหม ?

ปัญหาขอบตาดำสามารถหายได้หรือดีขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหานั้น ๆ หากเกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอหรือการขยี้ตา การปรับพฤติกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงสามารถช่วยลดรอยคล้ำได้อย่างเห็นผลในระยะเวลาไม่นาน แต่หากเกิดจากพันธุกรรมหรือการเสื่อมสภาพของผิวใต้ตา เช่น ผิวบางหรือมีร่องลึก อาจไม่สามารถหายขาดได้ แต่สามารถลดความหมองคล้ำและเติมเต็มร่องได้ด้วยวิธีทางการแพทย์ เช่น การฉีดฟิลเลอร์หรือการทำเลเซอร์

การรักษาขอบตาคล้ำให้หายขาดอาจต้องใช้เวลาขึ้นอยู่กับสาเหตุและวิธีการที่เลือกใช้ อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพโดยรวม การนอนหลับให้เพียงพอ และการใช้ครีมบำรุงที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ขอบตาดูสดใสขึ้น และลดปัญหาขอบตาดำได้ในระยะยาว

ปัญหาขอบตาดํา บอกโรค ที่ควรพบแพทย์

ปัญหาขอบตาดํา บอกโรค ที่ควรพบแพทย์

ขอบตาดำอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่บางครั้งต้องพบแพทย์ โดยเฉพาะหากเกิดจากสาเหตุที่ไม่เกี่ยวกับการนอนหลับหรือการดูแลผิว เช่น ภาวะโรคไต โรคภูมิแพ้ หรือการขาดสารอาหาร โดยเฉพาะการขาดธาตุเหล็กหรือวิตามิน K ซึ่งอาจส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ ทำให้ขอบตาคล้ำขึ้น การที่ขอบตาดำเกิดขึ้นเป็นเวลานานหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อปรับพฤติกรรมการนอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

นอกจากนี้ การที่ขอบตาดำเกิดขึ้นพร้อมกับอาการบวม หรือเจ็บปวดอาจเป็นสัญญาณของโรคทางตาหรือภาวะสุขภาพอื่นๆ เช่น ภาวะเส้นเลือดในสมองหรือการอักเสบของเนื้อเยื่อใต้ตา หากพบอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น อาการหอบเหนื่อยหรือรอยช้ำอย่างรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจและรับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดขอบตาดำ

การป้องกันไม่ให้เกิดขอบตาดำสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลผิวรอบดวงตา ดังนี้

  1. นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อคืนช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูและลดอาการหมองคล้ำใต้ตา เนื่องจากการนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
  2. หลีกเลี่ยงการขยี้ตา การขยี้ตาหรือถูตาแรงๆ อาจทำให้เส้นเลือดฝอยแตกและเกิดรอยคล้ำใต้ตา ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาโดยตรง
  3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ การดื่มน้ำให้เพียงพอ (อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน) ช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นและลดการเกิดริ้วรอยและหมองคล้ำ
  4. ใช้ครีมบำรุงรอบดวงตา การใช้ครีมบำรุงที่มีสารบำรุงผิว เช่น วิตามิน C, วิตามิน K หรือสารสกัดจากชาเขียว จะช่วยกระจ่างใสและลดการเกิดขอบตาดำ
  5. ปกป้องจากแสงแดด การใช้ครีมกันแดดและการสวมแว่นกันแดดจะช่วยปกป้องผิวใต้ตาจากรังสี UV ซึ่งสามารถทำให้ผิวเสื่อมสภาพได้
  6. ทานอาหารที่มีประโยชน์ การทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามิน C, K และธาตุเหล็ก จะช่วยเสริมสร้างการไหลเวียนเลือดและสุขภาพผิวโดยรวม
  7. ลดความเครียด ความเครียดส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนในร่างกายที่อาจทำให้เกิดปัญหาขอบตาดำได้ การผ่อนคลายด้วยการทำสมาธิหรือโยคะจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

ขอบตาดำมีทั้งหมดกี่เฉดสี

ขอบตาสามารถมีหลายเฉดสี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและลักษณะของปัญหาผิวใต้ตา ซึ่งอาจมีหลายเฉดสีที่แสดงถึงสภาพต่างๆ ของร่างกายและสุขภาพ การแยกเฉดสีของขอบตาสามารถช่วยในการประเมินสาเหตุและเลือกรูปแบบการรักษาที่เหมาะสม หากมีปัญหาขอบตาคล้ำที่ไม่หายไป ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ต่อไปนี้คือเฉดสีหลักที่สามารถพบเห็นได้

  • สีม่วง/น้ำเงิน : มักเกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอหรือการไหลเวียนเลือดไม่ดี โดยเฉพาะในกรณีที่มีการขาดออกซิเจนหรือเลือดไหลเวียนได้ไม่เต็มที่ ภาพรวมของรอยคล้ำมักจะมีสีม่วงหรือฟ้าคล้ายกับรอยช้ำ
  • สีแดงหรือสีชมพู : เกิดจากการระคายเคืองหรือการขยี้ตาแรงๆ ซึ่งสามารถทำให้ผิวใต้ตาเกิดอาการอักเสบหรือมีเลือดคั่งในบริเวณนั้น
  • สีน้ำตาล : มักเกิดจากการสะสมของเมลานินในผิวหนัง ซึ่งอาจเกิดจากการสัมผัสแสงแดดมากเกินไป หรือบางครั้งอาจเกิดจากพันธุกรรมและการเสื่อมสภาพของผิวใต้ตา
  • สีเทาหรือสีดำ : เกิดจากการสะสมของของเสียในเลือดใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะในกรณีที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น ภาวะโรคไตหรือภาวะหลอดเลือดอุดตัน ซึ่งอาจทำให้ผิวใต้ตาดูหมองคล้ำและดำขึ้น
  • สีเหลือง : อาจเกิดจากอาการบวมใต้ตาหรือการติดเชื้อ ซึ่งทำให้เกิดการสะสมของน้ำและของเสียในบริเวณใต้ตา จนเกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง

ขอบตาดำจากโรคภูมิแพ้ควรรักษาอย่างไร

ขอบตาดำจากโรคภูมิแพ้ควรรักษาอย่างไร

ขอบตาดำจากโรคภูมิแพ้เกิดจากการระคายเคืองและการอักเสบในบริเวณใต้ตา ซึ่งอาจเกิดจากการแพ้สารต่าง ๆ เช่น เกสรดอกไม้ ฝุ่น หรือสารเคมีในเครื่องสำอาง วิธีการรักษาคือการหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้โดยเฉพาะ และใช้ยาลดอาการแพ้ เช่น antihistamines หรือครีมที่ช่วยลดการอักเสบเพื่อบรรเทาอาการระคายเคือง หากอาการรุนแรงอาจต้องใช้ยาที่แพทย์สั่ง เช่น ครีมหรือยาฉีดสเตียรอยด์ในบางกรณี

การใช้ครีมบำรุงที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น ว่านหางจระเข้ หรือสารสกัดจากชาเขียวก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ นอกจากนี้การประคบเย็นด้วยผ้าชุบน้ำเย็นยังช่วยลดอาการบวมและความคล้ำใต้ตาได้อีกทางหนึ่ง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผิวบอบบางรอบดวงตาและหากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม

สรุป

ขอบตาดำเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ การขยี้ตาบ่อย ๆ การแพ้สารต่างๆ หรือการเสื่อมสภาพของผิวหนังใต้ตา ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยคล้ำและบวมได้ สาเหตุอื่น ๆ อาจรวมถึงพันธุกรรม การขาดสารอาหาร หรือภาวะโรคบางชนิด เช่น โรคไตหรือโรคภูมิแพ้ การรักษาขอบตาดำสามารถทำได้โดยการปรับพฤติกรรมการนอน การหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการแพ้ และการใช้ครีมบำรุงที่ช่วยกระจ่างใส รวมถึงวิธีทางการแพทย์ เช่น การฉีดฟิลเลอร์หรือการใช้เลเซอร์เพื่อเติมเต็มและปรับสภาพผิวใต้ตาให้ดีขึ้น หากท่านใดสนใจอยากจะแก้ไขปัญหาขอบตาดำอย่างเร่งด่วนที่ลีเอนจาง คลินิก สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account : @Lienjangthailand

สอบถามปรึกษาแพทย์ฟรี

สอบถามปรึกษาแพทย์ฟรี