บทความ

Article

6 จุดที่เติมฟิลเลอร์ หน้าเด็กเหมือนสต๊าฟอายุไว้ที่ 20
Facebook
X
Email

6 จุดที่เติมฟิลเลอร์ หน้าเด็กเหมือนสต๊าฟอายุไว้ที่ 20

หัวข้อที่น่าสนใจ

เมื่อพูดถึง หน้าอิ่มฟู ดูเด็ก หน้าเด้งมีมิติ เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงต้องนึกถึงการฉีดฟิลเลอร์อย่างแน่นอน เพราะเป็นการเติมเต็ม ปรับรูปหน้า ที่มาแรงอย่างมากในยุคสมัยนี้ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่จะช่วยเติมเต็มผิวหน้าที่เป็นร่องลึกให้เต็มและอิ่มฟูขึ้น วันนี้ลีเอนจาง คลินิก จึงจะมาแนะนำ 6 จุดเติมฟิลเลอร์ยอดฮิต ที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ เลือกฉีดกัน

นอกจากนี้การฉีดฟิลเลอร์ถือว่าเป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่ไม่อยากทำศัลยกรรม ไม่อยากพักฟื้น กลัวการผ่าตัด และเป็นการแก้ปัญหาใบหน้าที่เห็นผลทันที สำหรับใครที่สนใจหรือมีแพลนที่อยากจะฉีดฟิลเลอร์ แต่ยังไม่รู้ว่าควรฉีดจุดไหนดี หรือจุดไหนบนใบหน้าที่เป็นจุดยอดนิยมของการฉีดฟิลเลอร์ พร้อมแนะนำปริมาณที่ควรฉีดฟิลเลอร์ในแต่ละจุด และวิธีดูแลตัวเองหลังฉีดที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และคงอยู่ได้อย่างยาวนาน

ข้อควรพิจารณาก่อนเติมฟิลเลอร์ทั่วหน้า

การเติมฟิลเลอร์ทั่วใบหน้า เป็นการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณจุดต่าง ๆ ของใบหน้า เช่น ใต้ตา , ปาก , ขมับ , หน้าผาก และร่องแก้ม เพื่อปรับรูปหน้า เติมเต็มริ้วรอยและร่องลึก รวมถึงเพิ่มความอิ่มฟูให้กับใบหน้า ก่อนที่จะตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ ควรพิจารณาศึกษาถึงความปลอดภัย ผลลัพธ์ ค่าใช้จ่าย และการดูแลตัวเองให้ดีก่อน เพื่อความปลอดภัยและให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ข้อควรพิจารณาก่อนเติมฟิลเลอร์ทั่วหน้า

1.ฟิลเลอร์หน้าผาก

ฟิลเลอร์หน้าผาก (Forehead Filler) เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในบริเวณหน้าผาก เหมาะสำหรับผู้มีหน้าผากแบน หน้าผากยุบ หน้าผากย่น เพื่อช่วยให้หน้าผากนูนสวย ดูมีมิติยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมในเรื่องของโหวงเฮ้งใบหน้าได้อีกด้วย ฟิลเลอร์ที่นิยมใช้ในการฉีดหน้าผากจะต้องมีความปลอดภัยสูง และสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และต้องทำการฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ เพราะบริเวณหน้าผากมีหลอดเลือดและเส้นประสาทมากมาย ซึ่งอาจเกิดความเสี่ยงถ้าหากฉีดผิดวิธี จึงเป็นบริเวณที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ: ฟิลเลอร์หน้าผาก

2.ฟิลเลอร์ปาก

ฟิลเลอร์ปาก (Lip Filler) เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปในริมฝีปาก เพื่อเพิ่มความอวบอิ่ม ช่วยให้ริมฝีปากดูมีวอลลุ่มและได้รูปทรงตามที่ต้องการ เหมาะสำหรับผู้มีปากบาง ปากไม่ได้รูป ปากไม่เท่ากัน เพื่อช่วยให้มีทรงปากที่สวยขึ้น อิ่มฟู อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปากที่แห้งแตกได้อีกด้วย การเติมฟิลเลอร์ปากควรทำการฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพราะริมฝีปากเป็นบริเวณที่อ่อนโยน บอบบางกว่าผิวหนังส่วนอื่น การฉีดผิดพลาดอาจทำให้เกิดปัญหา เช่น ปากบวมไม่เท่ากันหรือเกิดก้อนแข็ง

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ: ฟิลเลอร์ปาก

3.ฟิลเลอร์ขมับ

ฟิลเลอร์ขมับ เป็นอีกจุดที่หลาย ๆ คนนิยมเลือกฉีด เมื่อมีอายุที่มากขึ้น ขมับจะมีการยุบตัวลง จะทำให้ใบหน้าดูโทรมดูมีอายุ เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาขมับตอบ ขมับบุ๋ม โหนกแก้มชัด ซึ่งสามารถช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมส่วนขึ้น ช่วยให้ขมับที่ตอบดูตื้นขึ้น เต็มขึ้นและอ่อนเยาว์มากขึ้น ขมับเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทจำนวนมาก หากฉีดผิดตำแหน่งอาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น อาการบวมแดงหรือเกิดก้อนใต้ผิว ดังนั้นควรทำการฉีดโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ: ฟิลเลอร์ขมับ

4.ฟิลเลอร์คาง

ฟิลเลอร์คาง เป็นอีกจุดที่หมอจะแนะนำในการปรับรูปหน้า เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาคางตัด หน้าสั้น หรือคางบุ๋ม ช่วยปรับรูปทรงคางให้ยาว เรียวขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสมดุลมากขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ การเติมฟิลเลอร์คางเป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด สำหรับใครที่ไม่อยากทำศัลยกรรมเสริมคาง สามารถเลือกวิธีการปรับรูปหน้าให้ดีขึ้นด้วยการฉีดฟิลเลอร์คางแทนได้

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ: ฟิลเลอร์คาง

5.ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา (Under-Eye Filler) เป็นการเติมเต็มร่องใต้ตาที่ยุบลงจากการทรุดตัวของผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ ขอบตาดำ มีถุงใต้ตา ช่วยแก้ไขปัญหาไขมันใต้ตาชั้นลึกทรุดตัว และความหย่อนคล้อยของการขาดคอลลาเจน ที่ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและมีอายุ ทำให้ริ้วรอยใต้ตาจางลง ดูสว่างสดใสขึ้น อ่อนเยาว์มากขึ้น หลังจากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณใต้ตาในช่วงแรก หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดหรือวิตามิน A ในบริเวณรอบดวงตา

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ: ฟิลเลอร์ใต้ตา

6.ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ร่องแก้ม หรือ ร่องน้ำหมาก (Nasolabial Fold Filler) เป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ เกิดจากผิวบริเวณหน้าแก้มหย่อนคล้อยจนร่องแก้มเป็นเส้นลึกจนเห็นได้ชัด การฉีดฟิลเลอร์ที่ร่องแก้มจะช่วยให้ผิวบริเวณนั้นดูเรียบเนียนและร่องแก้มดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ผิวมีความเต่งตึง และสดใสขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหา แต่บริเวณนี้ไม่แนะนำให้เติมฟิลเลอร์มากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้ใบหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับ: ฟิลเลอร์ร่องแก้ม

ควรเติมฟิลเลอร์ในปริมาณเท่าไร ?

ปริมาณฟิลเลอร์ที่ควรฉีดขึ้นอยู่กับบริเวณที่ฉีดและความลึกของปัญหาใบหน้าที่ต้องการแก้ไข โดยทั่วไปแพทย์จะพิจารณาจากโครงสร้างใบหน้าและผลลัพธ์ที่ต้องการของแต่ละบุคคล ปริมาณที่ใช้จึงจะแตกต่างกัน บางครั้งไม่จำเป็นต้องฉีดปริมาณมากในครั้งเดียว แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดเพิ่มในภายหลังหากต้องการปรับเพิ่มวอลลุ่มหรือความคมชัดของรูปหน้ามากกว่านี้ และปริมาณฟิลเลอร์ที่นิยมใช้ในแต่ละบริเวณ มีดังนี้

ควรเติมฟิลเลอร์ในปริมาณเท่าไร ?

  • บริเวณหน้าผาก 1-3 cc. ขึ้นอยู่กับความลึกของร่องลึกหรือความต้องการในการเพิ่มวอลลุ่มของแต่ละบุคคล
  • บริเวณปาก 1-2 cc. เพื่อเพิ่มความอวบอิ่ม หากต้องการให้ได้รูปทรงที่ชัดเจนมากขึ้น อาจใช้มากกว่า 1 cc.
  • บริเวณขมับ 1-2 cc. ต่อข้าง ขึ้นอยู่กับความลึกของขมับ
  • บริเวณคาง 1-2 cc. เพื่อปรับรูปคางและเพิ่มความเรียวยาว
  • บริเวณใต้ตา 0.5-2 cc. ต่อข้าง ขึ้นอยู่กับความลึกของร่องใต้ตาและปัญหาที่ต้องการแก้ไข และอาจใช้มากกว่า 2 cc ในกรณีที่มีปัญหาถุงใต้ตาใหญ่
  • บริเวณร่องแก้ม 1-2 cc. ต่อข้าง ขึ้นอยู่กับความลึกของร่องแก้มและผลลัพธ์ที่ต้องการ

การเตรียมตัวก่อนเติมฟิลเลอร์

การเตรียมตัวก่อนเติมฟิลเลอร์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

  1. ปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการ เพื่อประเมินความเหมาะสมและรับคำแนะนำเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ที่เหมาะสมกับบริเวณที่ต้องการฉีด และควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการแพ้ยา
  2. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้า เช่น แอสไพริน (Aspirin), ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), วิตามินอี (Vitamin E) และอาหารเสริมบางชนิด อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการฉีด เพื่อป้องกันอาการช้ำและบวม
  3. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ 24-48 ชั่วโมงก่อนการเติมฟิลเลอร์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอาการช้ำและบวม
  4. ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์ ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น
  5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่พร้อมรับการฉีด

หลังเติมฟิลเลอร์ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

หลังเติมฟิลเลอร์ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

หลังจากเติมฟิลเลอร์ การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูเป็นธรรมชาติและยาวนานขึ้น ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์มีดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงการนวด กด หรือสัมผัสบริเวณที่เติมฟิลเลอร์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนย้ายหรือผิดรูป หากจำเป็นต้องล้างหน้า ควรทำอย่างเบามือ
  2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีความร้อนสูง เช่น ซาวน่า อบไอน้ำ หรือการตากแดดจัด ๆ อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังการฉีดฟิลเลอร์ เพราะความร้อนอาจทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้นหรือไม่เข้าที่ได้ดี
  3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่หนัก ๆ หรือกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด เพราะการออกกำลังกายอาจทำให้เลือดไหลเวียนมากขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการบวมและช้ำ
  4. ควรนอนหงายและยกศีรษะสูงในคืนแรกหลังการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ฟิลเลอร์เคลื่อนย้ายและช่วยลดอาการบวม
  5. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือการติดเชื้อ
  6. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบวมและการเกิดอาการช้ำ
  7. การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ฟิลเลอร์เข้าที่ได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง
  8. หากมีอาการบวมช้ำสามารถใช้การประคบเย็นในบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ โดยใช้ผ้าสะอาดหรือเจลทำความเย็นประคบเบา ๆ เพื่อช่วยลดอาการบวม
  9. ควรเข้าพบแพทย์ตามนัด เพื่อติดตามผลและประเมินการเข้าที่ของฟิลเลอร์ หากมีอาการผิดปกติ เช่น อาการบวม แดง หรือปวดรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

เติมฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ?

การเลือกสถานที่เติมฟิลเลอร์เป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีคุณภาพ ข้อแนะนำในการเลือกสถานที่ที่ดีมีดังนี้

  1. เลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข มีใบอนุญาตประกอบการที่ถูกต้อง และมีชื่อเสียงในด้านการฉีดฟิลเลอร์
  2. ตรวจสอบว่าสถานที่ดังกล่าวมีมาตรฐานด้านความสะอาดและการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการฉีดฟิลเลอร์
  3. ควรเลือกแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ และมีความชำนาญเฉพาะทางด้านการฉีดโปรแกรมฟิลเลอร์ หรือศัลยกรรมความงาม
  4. ตรวจสอบว่าฟิลเลอร์ที่ใช้ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน ไม่มีสารเจือปนที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย
  5. ศึกษารีวิวและผลลัพธ์จากผู้ที่เคยใช้บริการจากสถานที่นั้น ๆ ทั้งในด้านผลลัพธ์การฉีดและการบริการ เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
  6. เลือกสถานที่ที่มีการให้บริการอย่างเต็มที่ รวมถึงการติดตามผลหลังการเติมฟิลเลอร์ หากเกิดปัญหาหลังฉีด ควรมีการติดตามและแก้ไขโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  7. ควรมีการให้คำปรึกษาอย่างละเอียดก่อนการฉีดฟิลเลอร์ ทั้งในเรื่องของปริมาณที่เหมาะสม บริเวณที่ควรฉีด และการเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังฉีด
  8. เปรียบเทียบราคาจากหลาย ๆ สถานที่ แต่ไม่ควรเลือกจากราคาที่ถูกที่สุด เพราะอาจมีความเสี่ยงในเรื่องของคุณภาพการบริการหรือฟิลเลอร์ที่ใช้ ควรคำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยเป็นหลักมากกว่าราคาถูกเกินไป

เติมฟิลเลอร์ ที่ไหนดี ?

เติมฟิลเลอร์ ราคาเท่าไร ?

ราคาฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ สถานที่ที่ให้บริการ ฟิลเลอร์ที่มีคุณภาพสูงและมีส่วนผสมที่เฉพาะตัวจะมีราคาสูงกว่าฟิลเลอร์ทั่วไป เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นปัจจุบัน แนะนำให้สอบถามราคาก่อนตัดสินใจ รวมถึงตรวจสอบว่าแพทย์หรือสถานที่ให้บริการมีคุณภาพน่าเชื่อถือหรือไม่

  • ฟิลเลอร์หน้าผาก ราคาประมาณ 10,000-25,000 บาท
  • ฟิลเลอร์ปาก ราคาประมาณ 8,000-20,000 บาท
  • ฟิลเลอร์ขมับ ราคาประมาณ 15,000-30,000 บาท
  • ฟิลเลอร์คาง ราคาประมาณ 15,000-30,000 บาท
  • ฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาประมาณ 10,000-25,000 บาท
  • ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาประมาณ 15,000-30,000 บาท

สรุป

การเติมฟิลเลอร์เป็นวิธีการเสริมความงามที่เติมเต็มริ้วรอยและร่องลึก และเพิ่มความอวบอิ่มให้กับใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น และเห็นผลได้จริง การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้ชำนาญการเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย เมื่อพูดถึงความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีแล้ว ที่ Lienjang Clinic Thailand เองก็มีบริการแก้ไขปัญหาใบหน้าด้วยฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐานเช่นกัน พร้อมทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ความชำนาญในเรื่องของการดูแลผิว หากท่านใดสนใจในการฉีดฟิลเลอร์ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Line Official Account : @Lienjangthailand หรือ Feacbook

สอบถามปรึกษาแพทย์ฟรี

สอบถามปรึกษาแพทย์ฟรี